ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 110

วันครบรอบของท่านตาตนเอง โอกาสอันดีเช่นนี้ที่จะได้แสดงความโดดเด่นออกมา เมื่อหลายวันก่อนเหลิ่งชิงหลางได้ไปขอร้องมู่หรงฉีเอาไว้ดิบดีให้ไปงานฉลองครบรอบเป็นเพื่อนนาง ใครจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเสียได้ เพื่อนางแพศยาเหลิ่งชิงฮวนคนนั้น เขาไม่ลังเลสักนิดที่จะทอดทิ้งตนเองไป

เมื่อนึกถึงท่าทางกระวนกระวายเมื่อสักครู่ของมู่หรงฉี เหลิ่งชิงหลางก็รู้สึกเดือดพล่านขึ้นมาเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ใช่เป็นเขาเองหรอกหรือที่อยากจะหย่ากับนางคนนั้นนักหนา? ถ้าหากว่านางตายไปได้ จะรู้สึกสะใจเป็นอย่างมาก ใต้นภาแห่งนี้ได้เกิดเรื่องดีๆขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่ามู่หรงฉีจะรีบร้อนไปทำไมกัน?

ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งโกรธเคือง รู้สึกเจ็บปวดหัวใจไปหมด

“เหตุใดฮูหยินต้องใช้อารมณ์ด้วยเจ้าค่ะ? ท่านเป็นเช่นนี้ก็มีแต่จะทำให้ท่านอ๋องรู้สึกผิดหวังอย่างมาก ความพยายามทั้งหมดที่เคยทำมาไม่เท่ากับกลายเป็นต้องสูญเปล่าหรอกหรือ?”

เหลิ่งชิงหลางชำเลืองมองไปยังทิศทางที่มู่หรงฉีจากออกไปและกัดฟันแน่น ก่อนจะออกคำสั่งกำชับกับองครักษ์ที่อยู่หลังเกี้ยว “องครักษ์ เจ้าจงกลับไปที่จวนไปเรียกเหล่าทหารมา!”

เหล่าองครักษ์ทั้งหลายไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใดและมีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าโจรลักพาตัวจะพูดเอาไว้ว่า ต้องการให้ท่านอ๋องเสด็จไปคนเดียวเท่านั้น มิฉะนั้นพระชายาจะตกเป็นอันตราย”

เหลิ่งชิงหลางตะคอกขึ้นมาด้วยความโกรธ “หรือพวกเจ้าวางใจจริงๆที่จะปล่อยให้ท่านอ๋องขี่ม้าไปเผชิญหน้ากับโจรที่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมคนเดียวเพียงลำพังอย่างงั้นหรือ? เลี้ยงพวกเจ้ามาเพื่ออะไรกัน?”

เหล่าองครักษ์ต่างมองหน้ากันไปมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง จึงรีบควบม้าหันกลับไปที่จวนเพื่อไปเรียกทหารมา

มู่หรงฉีขี่ม้าอย่างรวดเร็วตรงไปที่หอฝูเซิงในตัวเมืองอันวุ่นวาย

ในหอฝูเซิงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีแต่สิ่งสวยๆงดงามตระการตา มีทั้งเหล้าชั้นดีรสเลิศ จิบชาไปพร้อมกับชมการบรรเลงดนตรี เคียงข้างด้วยเหล่าหญิงสาวที่รูปร่างงดงามโดนเด่นทั้งหลาย ที่นี่คือสถานที่ละลายทรัพย์อันมหาศาลที่ดีที่สุดในเมืองหลวง แม้จะเป็นตอนกลางวันเช่นนี้ก็ยังมีแขกจำนวนมากที่ต้องการมองหาความสำราญและกระหายที่จะดื่ม

แต่วันนี้เมื่อเข้ามาในหอฝูเซิง ภายในห้องโถงใหญ่กลับมีแต่ความเงียบสงบ มีเพียงในห้องเดียวระดับหรูที่ใหญ่ที่สุดบนชั้นสองเท่านั้น ที่มีเสียงบรรเลงของพิณดังเป็นระยะๆ และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

หากสามารถเหมาหอฝูเซิงทั้งหมดได้ ดูเหมือนกลุ่มโจรกลุ่มนี้จะร่ำรวยและดูน่าเกรงขามไม่เบา จะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่

เขากำดาบยาวในมือแน่น ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการสังหาร ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปหาเพื่อไต่ถาม ทุกคนต่างพากันหลบออกให้ห่างไปไกลๆ เขาเดินตรงขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง

ในห้องเหมาระดับหรูที่อยู่บนชั้นสองมีเหลิ่งชิงฮวน เสิ่นหลินเฟิง และยังมีชายอีกคนที่สวมชุดที่ทำด้วยขนนกยูงสีน้ำเงิน บนหัวสวมมงกุฎที่ทำจากทองคํา นั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง

ชายคนนั้นหันหลังให้กับประตูของห้อง ยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมา “พี่สะใภ้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ตกลงตามนี้ พูดคำไหนคำนั้น น้องชายผู้นี้ขอดื่มแก้วนี้เพื่อฉลองให้กับการร่วมมือกันอย่างมีความสุขของพวกเรา”

ขณะที่แก้วเหล้ากำลังจออยู่ที่ริมฝีปาก ดาบยาวๆเล่มหนึ่งก็ส่งเสียงขึ้นมาและพุ่งเข้ามาหา พัดผ่านมาพร้อมสายลมอันแรงกล้า “ฉีจิ่งอวิ๋น เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ?”

ชายในชุดน้ำเงินหลบได้ทันควันและเอนตัวไปข้างหลัง เขาหลบปลายดาบอันแหลมคมได้พอดี แต่เหล้าทั้งหมดที่ถืออยู่ในมือกลับหกเลอะเทอะเสื้อผ้าด้านหน้า และเนื่องจากเคลื่อนไหวตัวไม่สมดุล จึงทำให้ทั้งคนทั้งเก้าอี้ล้มลงไปข้างหลัง กลิ้งตัวกลางอากาศหลายตลบ เพิ่งจะลุกขึ้นยืนมาจากสภาพอันน่าเวทนาได้

“คมดาบนั้นไร้ซึ่งดวงตาจริงๆ เป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้พบกัน อารมณ์ของท่านยังคงฉุนเฉียวเช่นเดิมไม่เปลี่ยน คงจะมีเพียงแค่พี่สะใภ้เท่านั้นที่สามารถทนท่านได้”

เหลิ่งชิงฮวนได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ เธอไม่ได้ทนได้ แต่กำลังพยายามอย่างสุดชีวิตในการอดทนต่างหากล่ะ

มู่หรงฉีส่งเสียงฮึกอย่างเย็นชา “ข้าเป็นคนอารมณ์ไม่ปกติ แต่เจ้ายังกล้ามาปล้นคนของข้าอีกงั้นหรือ?”

“ใส่ร้าย! เห็นได้ชัดว่าเป็นพี่สะใภ้ต่างหากที่จี้ข้า” ฉีจิ่งอวิ๋นชี้นิ้วไปทางเหลิ่งชิงฮวน “เดิมทีได้ยินมาว่าท่านอ๋องเห็นหญิงงามก็ลืมคุณธรรมไปหมดสิ้น จะพาเมียน้อยไปดื่มเป็นเพื่อน ลืมพี่น้องทั้งหลายไปเสียแล้ว จึงอยากจะล้อเล่นกับท่านเล็กๆน้อยๆเพื่อทดสอบท่านเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าอยากแสดงฝีมือออกมาสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นปล่อยไก่ไปได้ ถูกพี่สะใภ้จี้กลับและยังขูดรีดเงินคนของข้าไปกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงอีก

ข้าถูกวางยาพิษทำอะไรไม่ได้แต่เพื่อจะรักษาชีวิตเอาไว้ ได้แต่ต้องยอมจำนนเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้ก็รวบรวมมาให้ได้แล้ว”

มู่หรงฉีชำเลืองไปที่เหลิ่งชิงฮวนที่มีท่าทีสงบนิ่งสบายๆ รู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างที่ว่าจริง ขนาดตัวเองยังเคยหลงกลนางมาแล้ว ฉีจิ่งอวิ๋นมองนางเป็นผู้หญิงอ่อนแอธรรมดา เมื่อประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปก็ต้องพ่ายแพ้เป็นธรรมดา ถ้าถูกนางจี้กลับก็เป็นไปได้

เขาแหวกชุดออกและนั่งบนที่นั่งว่างๆด้านข้าง “รู้ว่าท่านฉีจิ่งอวิ๋นเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวยและน่าเกรงขาม แต่เป็นคนที่ทำอะไรต้องทำเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น ท่านมีชื่อเสียงเรื่องตระหนี่ขี้เหนียว จะใจกว้างขนาดนี้ได้อย่างไร เงินตั้งหนึ่งหมื่นตำลึงก็ยอมถวายออกมาให้ง่ายๆเช่นนี้เลยหรือ?”

“ยังคงเป็นพี่ใหญ่ที่เข้าใจข้า” ฉีจิ่งอวิ๋นหัวเราะคริคริเล็กน้อย “มีร้านค้าหลายร้านที่พี่สะใภ้ได้มาเป็นสินสอดทองหมั้นตอนแต่งงาน กิจการทั้งหมดไม่ค่อยดีเท่าไร รายรับไม่พอกับรายจ่าย พี่สะใภ้จึงเชิญข้าไปเป็นผู้จัดการป้ายทองอะไรนี่แหละให้นาง ช่วยนางคิดและวางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลงการดำเนินกิจการใหม่ อำนาจในการรดำเนินกิจการได้มอบหมายให้ข้าทั้งหมด

ยิ่งไปกว่านั้นเงินหนึ่งหมื่นตำลึงนี้เป็นเพียงเงินลงทุนเริ่มต้น ให้พี่สะใภ้ยืมใช้ชั่วคราวเท่านั้น ข้าไม่เพียงจะได้คืนมาในภายภาคหน้าเท่านั้น แต่ยังได้รับเงินบางส่วนจากในนี้เพิ่มด้วย”

มู่หรงฉีไม่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของเหลิ่งชิงฮวน ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเหลิ่งชิงฮวนถึงได้มอบร้านค้าของตัวเองให้กับคนที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งเดียวเท่านั้นให้มาช่วยดูแล

แม้ว่าฉีจิ่งอวิ๋นจะเป็นอัจฉริยะในการทำการค้าจริง ๆ เพียงแค่เขารู้ว่าร้านตั้งอยู่ที่ไหนและขนาดของร้านเท่าไร ก็สามารถตัดสินออกมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำในทันที สามารถกำหนดได้ว่าเหมาะกับรูปแบบและแผนกลยุทธ์การค้าแบบไหน

แต่ว่านางเป็นพระชายาของตัวเอง บริวารใต้สังกัดของตัวเองก็มีผู้ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการดำเนินกิจการโดยเฉพาะเช่นกัน นางไม่มาขอร้องตัวเอง แต่กลับไปไว้ใจและไม่เกรงกลัวที่จะไปขอร้องคนอื่นเสียได้ ช่วงแวบหนึ่งจึงเกิดรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย

“จิ่งอวิ๋นเจ้าเป็นคนที่ทำแต่ธุรกิจใหญ่ๆ มาสนใจกำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เยี่ยงนี้อยู่ในสายตาตั้งแต่เมื่อไรกัน เงินของพี่สะใภ้ของเจ้าก็ยังจะเอาด้วยหรือ?”

ฉีจิ่งอวิ๋นส่ายหัวไปมา “ประการแรก เป็นอย่างที่ท่านพูดมานั้นและที่ว่าถ้าไม่มีผลประโยชน์จะทำทำไม ข้าพูดในมุมมองของคนทำการค้า และก็เกรงว่าจะโดนท่านอ๋องฉีเกิดอารมณ์หึงเปล่าๆ ประการที่สอง การร่วมมือกันรูปแบบนี้เป็นพี่สะใภ้เองที่เสนอออกมา นางบอกว่ามีเพียงความร่วมมือที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเท่านั้นถึงจะเป็นแผนการร่วมมือที่ยาวนานได้ นอกจากนี้พี่สะใภ้ยังไม่เชื่อในตัวข้าและยืนกรานที่จะเซ็นสัญญาด้วยให้ได้”

มู่หรงฉีมองเหลิ่งชิงฮวนอย่างไม่พอใจ “เซ็นสัญญา? รายได้ต่อปีของร้านค้าของเจ้า ยังไม่เพียงพอกับเงินที่เขาเหมาทั้งหอฝูเซิงเลยนะ”

เหลิ่งชิงฮวนทำแบบนี้ แน่นอนว่าย่อมมีแผนของตัวเอง

อย่างแรกตัวเองเข้าออกไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นการมอบร้านค้าทั้งหมดให้กับคนที่มีความรู้ดูแลนั้นเป็นเรื่องง่ายและสะดวกที่สุด ฐานะทางการเงินและความสามารถของฉีจิ่งอวิ๋นเป็นสิ่งที่เหลิ่งชิงฮวนเชื่อถือได้ ประการที่สองมีเพียงแต่ต้องลากเขาเข้ามาเกี่ยวข้องและลงนามทำสัญญากับตัวเองเท่านั้น เพราะหากในอนาคตเกิดเหตุอะไรขึ้นมา ฉีจิ่งอวิ๋นก็ต้องลงเรือลำเดียวกันกับตัวเอง และเขาก็จะเป็นแหล่งเงินที่พึ่งพาอันสำคัญของตัวเองได้

เธอมีแผนการอยู่ในใจตัวเองเช่นนี้ แต่ย่อมไม่มีทางพูดออกไปเป็นแน่

“ก็เพราะว่าเขาเป็นคนฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงต้องระวังเอาไว้”

ฉีจิ่งอวิ๋นหัวเราะออกมาเสียงดัง “สิ่งที่พี่สะใภ้เพิ่งพูดมาสักครู่ เรื่องที่จะปรับปรุงสร้างโรงหมอใหม่ ถึงตอนนั้นอย่าลืมมาหาข้านะ ข้าจะเป็นส่วนแบ่งส่วนนั้นให้ได้”

มู่หรงฉีชะงักเล็กน้อย “สร้างโรงหมออะไร?”

“พี่ชายไม่รู้หรือ?” เสิ่นหลินเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดแทรกขึ้นมา “พี่สะใภ้ต้องการแสดงทักษะทางการแพทย์ของตัวนางให้ก้าวไกลออกไป และสร้างความสุขกลับมาให้ชาวบ้านในเมืองหลวง จึงจะเปลี่ยนร้านน้ำชาของนางให้เป็นโรงหมอขึ้นมา ข้ากับจิ่งอวิ๋นล้วนรู้สึกว่าความคิดเช่นนี้ดีมากเลยล่ะ”

มู่หรงฉีไม่เคยรู้มาก่อน ว่าในสมองของเหลิ่งชิงฮวนจะมีความคิดเลอะเทอะอะไรมากมายเช่นนี้ แม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนจะอ่อนลง ไม่เหมือนตอนแรกที่ไม่ลงรอยกัน แต่ว่าก็แค่อยู่ในขอบเขตที่ไม่ทะเลาะต่อสู้กันเท่านั้น ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่เคยจับเข่าแลกเปลี่ยนความคิดของกันและกันอย่างใจเย็นเลยสักครั้ง

สำหรับความลับของกันและกันนั้น ทั้งสองคนเป็นเหมือนกับคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง

รู้สึกผิดหวังขึ้นมาชั่วขณะ มู่หรงฉีเกิดรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อยและค่อย ๆ หมุนแก้วในมือไปมา

“เจ้าเคยคิดที่จะถามความคิดเห็นจากข้าบ้างหรือไม่?”

เกี่ยวอะไรกับท่านด้วยนะ! นี่มันเงินส่วนตัวของข้านะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา