ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 111

เหลิ่งชิงฮวนอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ “ถ้าเช่นนั้นท่านอ๋องมีความคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”

“ความคิดเห็นของข้าคือไม่เห็นด้วย”

“เพราะอะไรล่ะ?”

ฉีจิ่งอวิ๋นกับเสิ่นหลินเฟิงพูดเป็นเสียงเดียวกัน ทั้งสองคนต่างถลึงตามองมาด้วยความงง

มู่หรงฉีขยับริมฝีปากบางๆพูดออกมาทีละคำ “เพราะว่านางคือพระชายาของข้า ไม่จำเป็นต้องลำบากเช่นนี้”

แม่เจ้าโว้ย คำพูดหวานๆเลี่ยนเช่นนี่พูดได้ลื่นไหลจริงๆนะ แต่ตอนนี้แค่ฉันจะกินข้าวเม็ดเดียวของท่านยังคิดเล็กคิดน้อย ท่านยังมีหน้ามาพูดต่อหน้าผู้อื่น มาเอ่ยพูดคำพูดอันลึกซึ้งที่แฝงไปด้วยนัยความว่า เลี้ยงฉัน ออกมาได้

ฉันไม่ได้ลำบาก แต่ชีวิตมันลำบากต่างหาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องพึ่งพาตัวเองเลย ยังมาถูกคนอื่นคอยควบคุมอีก

แน่นอนว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ เหลิ่งชิงฮวนไม่อยากเปิดเผยเบื้องลึกของเขาออกมา ได้แต่บ่นพึมพำอย่างเงียบๆ “ไม่รีบร้อนก็ได้ หากรอแล้วไม่ได้ก็ค่อยคิดแผนการระยะยาวขึ้นมาใหม่ยังไม่สาย”

ฉีจิ่งอวิ๋นผงะไปครู่หนึ่ง แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่ามีความงุนงงอยู่เล็กน้อย ส่วนเสิ่นหลินเฟิงกลับรู้อยู่แก่ใจดี และหัวเราะขึ้นมาเพื่อให้เรื่องจบลงด้วยดี

“พี่ชายขี้งกที่สุด ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะแต่งนางเข้ามา เพราะกลัวว่าพี่สะใภ้จะโผล่หน้าออกมาให้คนอื่นได้เห็น ท่านดูอย่างวันนี้สิแค่ข้าล้อเล่นเล็กน้อยก็ทำเอาพี่ชายตกใจ จนต้องหอบลมพัดพามาอย่างกระโชกโฮกฮาก รีบร้อนที่จะมาฆ่าคนให้ได้”

ฉีจิ่งอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างทะเล้น “ถูกต้อง พี่ใหญ่มักจะเป็นพวกต่อให้ภูเขาไท่ซานพังทลายอยู่ตรงหน้าสีหน้าก็ไม่มีทางเปลี่ยน ไม่ทำสงครามที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน วันนี้กลับทำเพื่อพี่สะใภ้ ด้วยการบุกเข้ามาคนเดียวแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะมีการดักซุ่มโจมตีบ้างหรือยังไง?”

มู่หรงฉียกกำหมัดขึ้นมาและกระแอมไอเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างเย่อหยิ่ง “จัดการกับพวกโจรที่ทำร้ายผู้อื่นสองสามคน ข้าจำเป็นต้องระดมผู้คนมาจำนวนมากมายด้วยหรือ?”

เหลิ่งชิงฮวนจำกฎของการเป็นภรรยาและแม่ที่ดีข้อแรกได้ เมื่ออยู่ข้างนอกจะต้องไว้หน้าสามีของตัวเอง ดังนั้นจึงได้แต่เม้มริมฝีปากเอาไว้ หลับหูหลับตา ไม่พูดจาที่ประชดประชันอะไรออกไป ปล่อยไปไม่สนใจ

บรรยากาศกลับมากลมเกลียวอีกครั้ง ขณะที่พี่น้องทั้งสามคนกำลังรำลึกความหลัง ยกแก้วดื่มให้กันไปมาอย่างคึกคัก

เพิ่งจะดื่มเหล้าไปได้แค่ครึ่งหนึ่งก็ได้ยินเสียงของคนจากข้างนอกดังเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นและกำลังมุ่งตรงมาที่ชั้นสอง

ฉีจิ่งอวิ๋นชักสีหน้าไม่พอใจในทันที “ข้าต้องการจะหาความสงบเสียหน่อย จึงได้เหมาหอฝูเซิงเอาไว้ทั้งหมด ผู้ใดกันที่มีตาหามีแววไม่ ถึงได้กล้ามารบกวนเวลาดื่มเหล้าของข้า? ผู้ดูแลหอฝูเซิงแห่งนี้ช่างไร้ประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆเสียจริง”

ทั้งสี่คนนั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

ประตูห้องรับรองชั้นหรูถูกคนที่อยู่ด้านนอกเตะให้เปิดออก เหลิ่งชิงหลางยืนตระหง่านอยู่ที่หน้าประตูห้องและจ้องมองคนทั้งสี่คนที่กำลังครึกครื้นกันถึงขั้นสุดข้างในด้วยความตกตะลึง

ด้านหลังที่ตามนางมาคือกลุ่มองครักษ์ของจวนอ๋องที่มีอาวุธครบมือและชักดาบออกมาเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้ามากันเรียบร้อยแล้ว

มู่หรงฉีออกคำสั่งอย่างเย็นชา “ถอยไป!”

เหล่าองครักษ์รีบเก็บดาบเข้าฝักทันทีและถอยหลังกลับไปอย่างเชื่อฟัง

เหลิ่งชิงหลางกัดริมฝีปากล่างแน่น ยิ้มอย่างขมขื่นและถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว “นี่คือการลักพาตามที่องครักษ์รายงานหรอกหรือ? การลอบจี้? เห็นทีจะเป็นชิงหลางเองที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องเกินไปเสียแล้ว”

เมื่อมู่หรงฉีเห็นเหลิ่งชิงฮวนปลอดภัยดี จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และได้ลืมเรื่องการลักพาตัวที่ว่าจนหมดสิ้น เมื่อเห็นเหลิ่งชิงหลางถึงขนาดพาทหารมาหา ดวงตาจึงเกิดสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นมาเพื่ออธิบาย

“วันนี้มีสหายกลับเข้ามาในเมือง จึงแค่อยากจะล้อเล่นกันเท่านั้น ทำให้เจ้ากังวลใจเสียแล้ว”

เหลิ่งชิงหลางรีบบีบน้ำตาออกมาทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ “ถ้าท่านพี่ไม่อยากให้ท่านอ๋องตามชิงหลางไปที่จวนรองเสนาบดี พูดมาตามตรงก็ย่อมได้ เหตุใดต้องทำเรื่องให้ใหญ่โตเช่นนี้ด้วย? จิตใจของชิงหลางร้อนรุ่มดังไฟ กังวลว่าท่านพี่กับท่านอ๋องจะเป็นอะไรไป รีบร้อนจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงตามมาช่วยโดยไม่คิดถึงกำลังตัวเองสักนิด ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นการล้อเล่นกันเท่านั้น”

ความหมายในคำพูดก็คือ เรื่องในวันนี้เป็นเพียงเพราะเหลิ่งชิงฮวนต้องการแย่งชิงความโปรดปราน จึงได้ร่วมมือกับคนอื่นมาแสดงละคร

ฉีจิ่งอวิ๋นไม่รู้จักเหลิ่งชิงหลาง ดังนั้นเมื่อได้ฟังเช่นนี้ในหัวจึงเต็มไปด้วยความสับสน แต่ต่อมาก็พอเดาออกกลายๆถึงสถานะของเหลิ่งชิงหลาง จึงรีบลุกขึ้นมาเอ่ยทักทายอย่างอบอุ่นเป็นคนแรก

“หรือว่าท่านนี้จะเป็นพระชายารองใช่หรือไม่ เรื่องในวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับท่านอ๋องและพระชายาเลย เป็นจิ่งอวิ๋นเองที่ต้องการล้อเล่นกับท่านอ๋องเพียงเท่านั้น ต้องขอโทษพระชายารองด้วยจริงๆ ที่ทำให้ท่านต้องเป็นกังวลใจไป รีบเข้ามานั่งข้างในเถอะ ให้จิ่งอวิ๋นดื่มเหล้าขอขมาให้ท่านสักแก้ว”

เหลิ่งชิงหลางรู้ฐานะของฉีจิ่งอวิ๋น จึงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ท่านไม่จำเป็นต้องพูดแทนนางหรอก ข้ารู้ว่าจวนท่านเคานต์ของท่านกับท่านพี่สนิทสนมใกล้ชิดกัน ย่อมต้องพูดเข้าข้างนางอยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่งานเลี้ยงครบรอบของท่านตาก็ถูกทำให้ล่าช้าออกไปเสียแล้ว ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างไม่พอใจเช่นนี้ ยังจะมีอารมณ์ไหนดื่มเหล้าได้อีกกัน?”

ฉีจิ่งอวิ๋นในฐานะที่เป็นหัวโจกของเรื่องนี้ จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ดูเหมือนเรื่องล้อเล่นในวันนี้จะเล่นใหญ่เกินไปจริงๆ

มู่หรงฉีมีสีหน้าบึ้งตึง “เป็นข้าเองที่ไตร่ตรองไม่รอบคอบ ลืมส่งคนไปรายงานความปลอดภัยให้เจ้า ตอนนี้ยังพอมีเวลาอยู่ พวกเราไปจวนรองเสนาบดีตอนนี้ยังทันอยู่ มีอะไรรอกลับไปที่จวนค่อยคุยกันอีกทีดีกว่า”

เมื่อเหลิ่งชิงหลางสมดั่งใจแล้วก็สำรวมลง ไว้หน้าฉีจิ่งอวิ๋นสักครั้งปล่อยเลยตามเลยไป แต่เมื่อนางนึกถึงแผนการของตัวเองที่วางไว้ถูกก่อกวน ในใจจึงอัดอั้นไปด้วยไฟโกรธ จึงพูดแดกดันขึ้นมาชั่วขณะ

“ช่างเถอะ จวนรองเสนาบดีของพวกเราไหนเลยจะมีความสำคัญสู้พวกพี่น้องกับท่านพี่ที่ท่านอ๋องโปรดปรานได้อย่างไรกัน? ท่านอ๋องอยู่ที่นี่เพื่อรำลึกความหลังต่อเถอะ ชิงหลางไปเองก็ได้เพคะ”

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่โยงเรื่องต่างๆมาโทษที่เหลิ่งชิงฮวน ในที่สุดเหลิ่งชิงฮวนก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นยืนและเดินตรงมาหยุดตรงหน้านาง จากนั้นก็แย้มยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้าช่างฉลาดจริงๆ ความคิดเล็กๆน้อยๆของพี่สาวคนนี้ยังถูกเจ้ามองทะลุเสียได้ วันนี้เป็นพี่เองที่ร่วมมือกับคุณชายฉีและรัชทายาทเสิ่นแสดงละครออกมา”

มู่หรงฉีขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมเอ่ย “พูดจาไร้สาระอะไรกัน?”

เหลิ่งชิงฮวนหัวเราะ คริคริ ขึ้นมา และเป็นฝ่ายเริ่มจับมือของเขาก่อน จากนั้นก็แกว่งไปมา พร้อมกับฉีกยิ้มอย่างเบิกบานราวกับดอกทานตะวันก็ไม่ปาน

“ชิงฮวนก็แค่อยากเห็นว่า ภายในใจของท่านอ๋องนั้นน้องสาวสำคัญกว่าหรือว่าหม่อมฉันเหนือกว่าก็เท่านั้น ท่านอ๋องไม่ทำให้หม่อมฉันผิดหวังจริงๆ อีกทั้งยังทำตามที่โจรลักพาตัวลั่นวาจาไว้ไม่พาทหารมาสักคน บุกเดี่ยวเข้ามาที่หอฝูเซิง เป็นวีรบุรุษที่มาช่วยหญิงงามโดยแท้ ช่างหล่อเหลายิ่งนักๆ คูลขาดใจไปเลย”

มู่หรงฉีรู้สึกว่าตัวเองโดนเขย่าจนเวียนหัว แต่กลับไม่อาจสะบัดหลุดจากมือของผู้หญิงคนนี้ได้ และไม่อาจต่อต้านการออดอ้อนที่น่าขนลุกของนางได้ นางจงใจที่จะยุแยงความสัมพัทธ์ระหว่างตัวเองกับเหลิ่งชิงหลาง เจตนาช่างร้ายกาจและชั่วร้ายอย่างมาก ทำไมตัวเองถึงได้ปล่อยเลยตามเลยไปได้ล่ะ?

สีหน้าของเหลิ่งชิงหลางเปลี่ยนไปทันที ประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวม่วง สักพักก็น้ำตาคลอเอ่อล้นเต็มดวงตาทั้งสองข้าง นางจ้องมองมู่หรงฉีด้วยความคับแค้นใจ สักพักก็กวาดสายตามองไปยังเหลิ่งชิงฮวนที่มีสีหน้าได้ใจ รู้สึกเกลียดชังจนต้องกัดฟันขบกรามแน่น

นางกระทืบเท้าอย่างแรง “ชิงหลางไม่เคยคิดจะแย่งชิงความโปรดปรานจากท่านพี่เลย เหตุใดท่านพี่จะต้องทำเช่นนี้ด้วย?”

เหลิ่งชิงฮวนหรี่สายตาลงและจ้องมองนางด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าทำเช่นนี้เหมือนยิงธนูดอกเดียวได้เหยื่อถึงสองตัว อย่างแรกเพื่อทดสอบท่านอ๋อง อย่างที่สองก็เพื่อทดสอบน้องสาวอย่างเจ้า มีคนบอกว่าถ้าเกิดสถานการณ์เช่นนี้ น้องสาวไม่มีทางเกิดเป็นห่วงเป็นใยได้หรอก มีแต่หวังจะให้ข้าตายมากกว่า

ข้าไม่เชื่อ เจ้าก็ดูสิ น้องสาวของข้าพาองครักษ์มามากมายเพื่อมาช่วยข้าแล้วมิใช่หรือ? จะต้องเป็นเพราะท่านอ๋องรีบร้อนจนเกินไป ไม่ได้เอาเงินค่าไถหนึ่งหมื่นตำลึงมาด้วย เจ้าจึงนำมาด้วยใช่หรือไม่?”

เหลิ่งชิงหลางสะอึกเล็กน้อย “เวลานั้นข้าเองก็ทำอะไรไม่ถูก เลยลืมไปแล้ว”

เหลิ่งชิงฮวนยิ้มอย่างมีเลศนัย “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คงจะหุนหันพลันแล่นมากจนเกินไป พาทหารมามากมายขนาดนี้ ไม่กลัวโจรลักพาตัวพวกนี้เกิดกลัวเหมือนสุนัขจนตรอก พลั้งมือฆ่าข้าหรอกหรือ?”

เพื่อต่อกรกับผู้หญิงแพศยาอย่างเหลิ่งชิงหลาง ไม่ควรให้นางได้เหยียบหน้าขึ้นมา

เดิมทีเหลิ่งชิงหลางยังมีคำพูดที่มีเหตุมีผลอีกมากมายที่อยากจะพูดต่อเพื่อประณามมู่หรงฉีและเหลิ่งชิงฮวน แต่ใครจะรู้ว่าสถานการณ์กลับตาลปัตรเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามในทันที ดันถูกเหลิ่งชิงฮวนจี้ถามจนทำให้พูดไม่ออก

มีช่วงหนึ่งที่หากสามารถกระอักกระอ่วนได้มากแค่ไหนก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาได้มากเท่านั้น

ที่เขาว่ากันว่าเมื่อพูดดีๆด้วยไม่ได้ ก็คงต้องใช้ไม้แข็งแทน รัชทายาทเสิ่นและฉีจิ่งอวิ๋นที่นั่งดูอยู่ล้วนเป็นคนฉลาด มองทะลุเจตนารมณ์ของเหลิ่งชิงหลาง จึงไม่มีใครยอมที่จะเข้ามาช่วยนางเพื่อให้เรื่องจบลงได้ด้วยดี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา