ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 114

“จะออกหน้าอย่างไร?” เหลิ่งชิงหลางเอ่ยถามด้วยความเบื่อหน่าย

จินซื่อยิ้มอย่างเย้ยหยัน “หากข่าวลือเรื่องที่เหลิ่งชิงฮวนสูญเสียพรหมจรรย์ก่อนนางแต่งงานแพร่กระจายออกไป ท่านอ๋องฉียังจะปกป้องนางอยู่ไหม?”

“ท่านพ่อต้องโมโหมากแน่ ๆ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงหน้าตาของจวนมหาเสนาบดีด้วย และลูกเองก็จะถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในภายภาคหน้าได้”

“แน่นอนว่าจะไม่ได้แพร่ข่าวอื้อฉาวให้โจษจันกันไปทั้งเมืองหรอก ข้าเพียงแค่คิดหาวิธี นำคำพูดนี้ไปให้ถึงหูพระสนมฮุ่ยเฟยก็เท่านั้น ได้ยินมาว่า พระสนมฮุ่ยเฟยไม่ชื่นชอบเหลิ่งชิงฮวนมากนัก”

อยู่ดีๆเหลิ่งชิงหลางก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด “จะส่งข้อความอย่างไร?”

“ท่านตาและน้าของเจ้าเป็นข้าราชการในราชสำนักมานานหลายปี ในวังจะไม่มีคนของตัวเองเลยงั้นหรือ? ขอเพียงแอบพูดใส่ความไป ข้าเชื่อว่าพระสนมฮุ่ยเฟยคงไม่สามารถนั่งอยู่ในวังเฉยๆได้เป็นแน่”

เหลิ่งชิงหลางรีบปรับเปลี่ยนอารมณ์และอดทนรอต่อไปไม่ไหว “ถ้าหากพระสนมฮุ่ยเฟยเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าตาของราชวงศ์ นางไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกไปแน่ จะต้องรักษาหน้าของจวนมหาเสนาบดีและจวนท่านอ๋องฉีเอาไว้ ส่วนท่านอ๋องเองก็ไม่มีทางโกรธข้าได้

ความกังวลเพียงอย่างเดียวก็คือ เมื่อเหลิ่งชิงฮวนกลายเป็นสุนัขจนตรอก จะต้องพูดเรื่องที่สำนักแม่ชีหนานชานแน่นอน ตอนนี้แม่หวังอาจยังไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกันกับพวกเรา ถึงเวลานั้นข้าจะอ่านความสัมพันธ์ออกได้อย่างไร? นอกจากนี้พระสนมฮุ่ยเฟยจะโกรธข้าเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือไม่?”

“เป็นความจริงที่ว่าแม่หวังเป็นคนเปลี่ยนไม้จันทน์ของเหลิ่งชิงฮวน แต่ว่านางไม่รู้ถึงสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในไม้จันทน์ มิฉะนั้นนางจะยังอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างๆเหลิ่งชิงฮวนอย่างสบายใจได้อีกหรือ? เจ้าเพียงปิดปากแน่นไม่ยอมรับออกมา พระสนมฮุ่ยเฟยจะเชื่อคำพูดของเหลิ่งชิงฮวนได้อย่างไร

ส่วนแม่หวังนั้น ก็แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่ง ใช้เงินซื้อไม่ได้ก็ขู่ให้กลัว หากขู่แล้วไม่กลัวก็ต้องทำให้นางหุบปากไปตลอดชีวิต จะปล่อยให้เจ้าหยิกเล็บเจ็บเนื้อ กล้าๆกลัวไม่ลงมือหรือ ตอนนี้เป็นเพราะท่านอ๋องที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เจ้าจึงเอาแต่กังวลมากเกินไป จะทำให้พลาดโอกาสดีๆเอาได้

เมื่อพูดมาเช่นนี้ เหลิ่งชิงหลางก็เกิดความมุ่งมั่นขึ้นตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวลงมือทำให้ถึงที่สุด “ครั้งนี้ต้องทำให้เหลิ่งชิงฮวนไม่มีโอกาสได้พลิกกลับมาได้อีก”

หอฝูเซิง

หลังจากเหลิ่งชิงหลางจากไป มู่หรงฉีและคนอื่นๆไม่มีใครนึกถึงเรื่องนี้กันเลย ยังคงกินเหล้าอย่างจุใจ

ในสามคนนี้ นิสัยของมู่หรงฉีเย็นชาเงียบขรึม ส่วนเสิ่นหลินเฟิงปฏิบัติตัวในทำนองคลองธรรมและเป็นสุภาพบุรุษที่สุภาพเรียบร้อย มีเพียงแค่ฉีจิ่งอวิ๋นที่พูดจาสนุกน่าฟังได้ไม่หยุด มีอารมณ์ขันและพูดจาฉะฉาน

แต่ก็ไม่รู้ว่าผู้ชายสามคนที่มีนิสัยต่างกันคนละขั้วถึงได้กลายมาเป็นเพื่อนซี้กันได้

ยิ่งไปกว่านั้นเหลิ่งชิงฮวนยังพบว่า คุณชายฉีท่านนี้ทำการค้ามานานแล้ว ไม่เหมือนเสิ่นหลินเฟิงที่มีออร่าของนักธุรกิจที่เฉลียวฉลาดไม่เหมือนใคร และยังมีนิสัยชอบเดินเตร็ดเตร่ในตลาด แต่อย่างไรก็ตามสิ่งนี่ไม่ทำให้เหลิ่งชิงฮวนหยุดชื่นชมในความสามารถของเขาได้

เขาเพิ่งจะกลับมาจากเปอร์เซีย นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นกลับมามากมาย และคุยโม้ถึงนิสัยและขนบธรรมเนียมความเป็นอยู่ของคนในท้องถิ่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงให้ฟัง โดยส่วนใหญ่จะแฝงไปด้วยน้ำเสียงดูแคลนและเย้ยหยัน

เหลิ่งชิงฮวนในฐานะที่เป็นคนที่เดินทางข้ามเวลามาและเคยอยู่ในสมัยที่มีข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่พัฒนาแล้ว มีการแบ่งปันข้อมูลกันมากมาย สำหรับเรื่องนี้จึงทำได้เพียงแค่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดแทรกเพื่อแก้ไขแต่อย่างใด

เป็นเพราะการมีตัวตนของฉีจิ่งอวิ๋น จึงทำให้บรรยากาศในงานเลี้ยงมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด ทั้งสามคนรู้สึกสนใจอย่างมาก และดื่มกันตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงช่วงบ่าย ทุกคนเมามายกันเล็กน้อย ตอนที่แยกย้ายกันกลับจวน เริ่มที่จะเดินโซเซ

คนรับใช้ของหอฝูเซิงจูงม้าของมู่หรงฉีมาให้ มู่หรงฉีมองไปที่เหลิ่งชิงฮวน ดวงตาเป็นประกาย “ขี่ม้าหรือ?”

เพราะว่าเหลิ่งชิงฮวนกำลังตั้งครรภ์ จึงดื่มแค่ไวน์องุ่นแค่เล็กน้อย เมื่อเห็นเขาเมาเรียบร้อยแล้วจึงส่ายหัว “เมาแล้วขี่ม้าอันตราย ข้านั่งรถม้ากลับดีกว่า”

มู่หรงฉีเองก็เดินตามหลังนางเข้าไปในรถม้าด้วย ท่าทางของเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะอกผายไหล่ผึ่งนั่งหลังตรง แต่กลับขดตัวเอนตัวพิงกับเบาะรองข้างๆ เอามือข้างหนึ่งเท้าหน้าผากไว้ ใบหน้าแดงระเรื่อ “เชื่อฟังคำของภรรยา กินให้อิ่ม”

ในขณะที่หายใจ กลิ่นของแอลกอฮอล์ก็ลอยขึ้นมาทันที อบอวลเต็มรถม้าไปหมด

อยู่ ๆ เหลิ่งชิงฮวนก็นึกขึ้นมากะทันหันได้ว่าครั้งที่แล้วที่ทั้งสองคนนั่งรถด้วยกัน กลิ่นเต้าหู้เหม็นส่งกลิ่นคละคลุ้งมาเต็มรถม้า เธออดไม่ได้ที่จะขดตัวไปด้านข้างและอยู่ให้ห่างจากเขา

“หลินเฟิงกับจิ่งอวิ๋นไม่อยู่แล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องแสดงละครต่อแล้วล่ะ?”

มู่หรงฉีหลับตาลงเล็กน้อย ยื่นปลายนิ้วที่เรียวยาวออกมานวดระหว่างคิ้ว “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกข้าหล่อสุดๆ คูลขาดใจหมายความอย่างไร? กำลังชมข้าหรือว่าร้ายข้ากันแน่?”

“ย่อมต้องชมท่านอยู่แล้ว หล่อจนทำให้คนอื่นต้องตกตะลึง เท่จนทำให้คนอื่นหายใจไม่ออกเลยละ”

มู่หรงฉีรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งนี้มาก “ถือว่าเจ้ายังมีมโนธรรม”

เหลิ่งชิงฮวนก็ไม่ได้คาดหวังว่า วันนี้มู่หรงฉีจะรีบมาที่หอฝูเซิงอย่างรวดเร็วขนาดนี้ และยังขี่ม้ามาคนเดียวจริงๆ แม้ว่าเขาจะเก่งกาจและกล้าหาญ แต่ว่าบุญคุณในครั้งนี้ยังต้องจดจําไว้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา