การเข้าวังครั้งนี้เหลิ่งชิงฮวนตัดสินใจพาแม่นมเตียวไปด้วย หลักๆคือแม่นมเตียวนั้นเคยอยู่ในวังมาก่อนและนางรู้เรื่องกฎระเบียบในวังเป็นอย่างดี
เคยได้ยินมาว่าถนนในวังนั้นราวกับมีสิบแปดโค้งบนภูเขาราวกับหลงทางอยู่ในวังอย่างไรอย่างนั้น ใจของคนในวังหลวงเองก็เคี้ยวคดเหมือนกันถนนในวังนั้นเอง ถ้าไม่มีคนฉลาดอยู่ข้างกายก็เท่ากับว่าตัวเองนั้นเสียเปรียบ
จริงแท้ หลังจากที่เธอเข้าวังมาแล้ว มู่หรงฉีก็ทิ้งเธอเอาไว้
มู่หรงฉีบอกว่าวันนี้ในวังมีคนมาก คนจำนวนมากล้วนเป็นคนแปลกหน้า สิ่งเดียวที่กลัวคือการจะมีอะไรถูกละเว้นและมอบโอกาสให้กับผู้อื่น ดังนั้นเขาจะไปตรวจดูสักหน่อย
และกำชับกับแม่นมเตียวโดยเฉพาะเลยว่าให้พาเธอไปพักที่เรือนซู่อวี้
เรือนซู่อวี้อยู่ใกล้กับกับสวนฉงหลิน ชั้นสองเป็นห้องใต้หลังคาที่รับลมได้สี่ทิศทางซึ่งประดับไปด้วยผ้าม่านผืนบางสีขาวราวกับไข่มุก เหล่าหญิงสาวนั่งอยู่ด้านหลังผ้าม่าน เพียงแค่ชะเง้อคอก็สามารถมองเห็นเหล่าบัณฑิตใหม่นั่นได้ทั้งหมด มองขึ้นไปเหนือสวนฉงหลินก็เห็นร่มเงามากมาย
ความตั้งใจของราชวงศ์นั้นชัดเจน นั่นก็เพื่อให้เหล่าราชนิกูลหญิงซ่อนอยู่ด้านหลังผ้าม่านผืนบางนี่เพื่อเลือกคนที่ถูกใจ
เหลิ่งชิงเฮ่อหลีกหนีราวกับเจอสัตว์ร้ายและทุกคนต่างแห่กันไปแย่งชิง มีบัณฑิตที่สอบได้ระดับสูงหลายคนที่แทบรอไม่ไหวที่จะถูกเลือกและกลายเป็นราชบุตรเขย ได้ขึ้นไปในที่สูงอย่างสบายๆตลอดทั้งชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่อีกต่อไป อีกทั้งยังมีฐานะที่สูงศักดิ์เชิดหน้าชูตาให้กับบรรพบุรุษ
เหลิ่งชิงฮวนมาถึงเร็ว แต่ที่เรือนซู่อวี้นั่นมีหญิงสาวชนชั้นสูงที่อรชรอ้อนแอ้นนั่งกันอยู่เต็มไปหมด ทุกคนพูดเสียงเบาและกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่
เจ้าของร่างเดิมนั้นมีโอกาสเข้าวังน้อยและไม่เคยมีการไปมาหาสู้กับองค์หญิงมาก่อน พวกเธอจึงไม่รู้จักเธอ พวกเธอจึงเงยหน้าขึ้นและเหลือบตามองแวบหนึ่งก่อนจะหันหน้าไปพูดคุยกันและวิพากษ์อะไรกันสองสามประโยคเพื่อคาดเดาถึงฐานะของเธอ
เหลิ่งชิงฮวนนั้นหาตำแหน่งที่เงียบสงบให้กับตัวเองแล้วนั่งลง แม่นมเตียวพูดเสียงเบาแนะนำเหล่าเจ้านายในวังสองสามคนให้เธอได้รู้ นั่งกันเป็นลำดับ หลังจากนั้นผู้คนก็ยิ่งมาเยอะขึ้นเรื่อยๆภายในเรือนจึงคึกคักขึ้น
ในที่สุดก็มีคนร้องออกมาเสียงเบาว่า “มาแล้ว เข้าวังมาแล้ว!”
เหล่าหญิงสูงศักดิ์นั้นได้แย่งทำเลที่ดีกันมาตั้งแต่แต่แรกแล้วโดยที่แทบจะไม่สำรวมกันแล้ว เธอเปิดมุมหนึ่งของม่านและมองไปด้านนอกอย่างเงียบๆ
เหล่าบัณฑิตทยอยพากันเข้ามา ผู้ที่เดินนำมานั้นคือจอหงวนคนใหม่ที่เดินนำมาคนเดียวอย่างไม่มีผู้ติดตาม จากนั้นก็ตามด้วยปั๋งเหยี่ยนและทั่นฮัวที่นั่งสองคนหนึ่งโต๊ะ จากนั้นก็ตามด้วยลำดับถัดๆไปที่นั่งโต๊ะละสี่คน
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดก่อนและถอนหายใจอย่างหมดหวังว่า “แม้ว่าจอหงวนคนนี้จะมีรูปลักษณ์สง่างาม แต้ว่าด้วยอายุของเขาแล้วเขาต้องแต่งงานแล้วแน่ๆ”
“เป็นพวกหน้าตาขี้เหร่ทั้งนั้นเลย อ่อนแอจนแทบปลิวไปตามลม สู้พวกผู้ดีในราชสำนักไม่ได้เลย”
“ดูไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ยังมีแค่คุณชายใหญ่ของจวนมหาเสนาบดีที่หล่อที่สุด ครอบครัวก็ดี การศึกษาก็ดี คนอื่นนั้นสู้ไม่ได้เลย”
คนที่พูดประโยคนี้คือหญิงสาวเจ้าเนื้อคนหนึ่ง มองอย่างไรเธอก็ดูกลมดิกเธอแทบจะปริในชุดชาววังสีเหลืองแม้แต่นิ้วของเธอก็ดูบวมราวกับพองลมเอาไว้
เธอยืนพูดคุยอยู่กับเหล่าสาวงามที่เอวบางร่างน้อย ซึ่งเป็นที่สนใจของคนอื่นได้ง่ายราวกับว่าเธอเป็นสัตว์อนุรักษ์ระดับชาติอย่างแพนด้า
เหลิ่งชิงฮวนนั้นได้รู้ถึงตัวตนของเธอจากปากแม่นมเตียวแล้ว เธอคือองค์หญิงเจ็ดลวี่อู๋แห่งพระสนมเสียนผินซึ่งเป็นน้องสาวขององค์ชายสี่
“ดีแล้วอย่างไรล่ะ คงจะไม่เหลือมาถึงเจ้าหรอก ต่อให้มาถึงก็ต้องเป็นคนที่คุณชายตระกูลเหลิ่งนั้นต้องตา”
มีคนพูดสาดน้ำเย็นเข้ามาจนทำให้หลายๆคนหัวเราะขึ้น จากนั้นก็มองไปที่หญิงสาวรูปงามที่อยู่ข้างหน้าต่างอย่างพร้อมเพรียง
เธอคือองค์หญิงหรูอี้คนที่มู่หรงฉีเล่าให้ฟังเมื่อวานว่าเป็นลูกสาวของฮองเฮา
องค์หญิงหรูอี้ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมองมาตามสายตาของเธอไป แต่สายตานั้นกลับตกลงบนร่างของเหลิ่งชิงเฮ่ออย่างตาไม่กระพริบ
โต๊ะที่อยู่ด้านหลังของเธอนั้นมีลูกธนูที่ห่อหุ้มด้วยอัญมณีอยู่ ด้านปลายของลูกศรนั้นถูกบนจนเรียบและพันด้วยผ้าสีแดง
เหลิ่งชิงฮวนเดาว่าคงไม่ใช่ว่าต้อง “ยิงโดนสองดอก” หรอกนะ คิดจะใช้ลูกธนูในการเลือกเจ้าบ่าวล่ะสิ การโยนดอกไม้เป็นสัญญาณลับของฮ่องเต้ซึ่งเป็นการบังคับให้แต่งงาน ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง
องค์หญิงลวี่อู๋นั้นซื่อๆ เธอได้ยินคนอื่นเยาะเย้นเธอแล้วก็ไม่ได้ร้อนใจหรือรำคาญใจ เธอแลบลิ้นออกมา “ข้าแค่พูดเท่านั้นเอง เจ้าดูหุ่นเขาสิ แค่ลมพัดคงจะปลิวไปเลย ในจวนมหาเสนาบดีเองก็อาหารการกินคงจะไม่เท่าไร”
คำพูดนี้ทำให้พวกผู้หญิงจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเธอหัวเราะ “คิกคัก” กันขึ้นมา
องค์หญิงหรูอี้ส่งเสียงในจมูกอย่างไม่พอใจ และพูดออกมาอย่างดูถูกว่า “ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็มีฐานะเป็นองค์หญิง ในหัวมีแต่เรื่องกินเหมือนกับพวกที่ได้รับภัยพิบัติจนไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ช่างทำให้ราชวงศ์ขายหน้าเสียจริง”
ทุกคนดูชินชากับคำพูดอันเสียดแทงขององค์หญิงหรูอี้ มีบางคนที่ลอบมองใบหน้าบูดบึ้งขององค์หญิงลวี่อู๋อย่างเงียบๆ
ลวี่อู๋หัวเราะ “ฮิ ฮิ” ออกมา “พวกเจ้าเห็นสามีเป็นเรื่องสำคัญ ข้าเองก็เห็นเรื่องกินเป็นเรื่องสำคัญไง ความต้องการไม่เหมือนกัน”
หรูอี้เหลือบตามองเธอด้วยความรังเกียจแวบหนึ่งก่อนจะหันไปจ้องเหลิ่งชิงเฮ่อต่อ
คนอื่นนั้นได้แต่อยู่อย่างสงบ ไม่มีใครกล้าแย่งชิงกับเหลิ่งชิงเฮ่อ ทุกคนต่างไม่พูดถึงเหลิ่งชิงเฮ่อ และหันไปวิจารณ์คนอื่นกัน
ใจของเหลิ่งชิงฮวนนั้นคำนวณเอาไว้แล้ว เธอนั้นเป็นกังวลแทนพี่ชายของเธอจริงๆ ถูกองค์หญิงกลุ่มนี้จดจำเอาไว้แล้ว อีกทั้งความประพฤติขององค์หญิงหรูอี้เองก็ยากที่จะบรรยายออกมา มนุษยสัมพันธ์เองก็ไม่ดี
ถ้าหากว่าแต่งเข้ามาเป็นพี่สะใภ้ในจวนมหาเสนาบดี ตัวเธอกับองค์หญิงเกรงว่าคงจะต้องสู้รบปรบมือกันทั้งวัน
ใจของเธอก็มีความเศร้าเข้ามาโอบล้อมในทันที เธอหันไปมองพี่ชายผู้ยอดเยี่ยมของเธอ และอธิษฐานให้เขาหลุดพ้นจากความชั่วร้าย ให้มีความโชคดีเข้ามานะ
กลุ่มคนต่างพากันมองไปอย่างสงสัย “ดูนั่น นั่นไม่ใช้เสด็จพี่ฉีกับจิ่นอี้จวิ้นจู่เหรอ”
เหลิ่งชิงฮวนได้สติมาในทันที เธอเองก็ยื่นคอออกไปมองด้านนอกและมองไปตามที่คนอื่นชี้นิ้วไป แน่นอนว่าเป็นมู่หรงฉีกับจิ่นอวี๋ยืนอยู่ด้วยกันสองคนไม่ไกลด้านหลังภูเขาจำลอง จากมุมของเธอแล้วสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองคนเดินจูงมือกันด้านหลังภูเขาจำลองและพันแข้งพันขากันอยู่
หญิงสาวคว้าแขนเสื้อของมู่หรงฉี เธอก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าเธอกำลังอายหรือยิ้มอยู่ เพราะว่าอยู่ห่างออกไปไกลทำให้มองได้ไม่ชัด แต่อย่างไรเสียทั้งสองคนก็อยู่ใกล้ชิดกันและท่าทางก็ดูคลุมเครือ
ที่สำคัญที่สุดคือมู่หรงฉีที่ต่อหน้าเธอนั้นเขาจะอยู่ห่างจากสาวงาม แต่พอลับหลังกลับไม่ปฏิเสธและดูสนุกกับมันมาก
ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย มาบอกเธอว่าจะไปตรวจตราองครักษ์ นี่คือการมาเป็นผู้พิทักษ์ส่วนตัวให้กับคนงามแล้ว ถ้าผู้ชายเชื่อถือได้หหมูคงจะปีนต้นไม่ได้ไปแล้ว โกหกตาไม่กระพริบเลย
เหมือนมีไฟมาสุมในอกของเหลิ่งชิงฮวน ในเวลานี้มือของเธอยังมีหนังหุ้มอยู่ เธอจะต้องเข้าไปชกหน้าที่เต็มไปด้วยความเสน่หาของมู่หรงฉีอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
องค์หญิงหรูอี้ยิ้มเยาะออกมาว่า “ผู้คนล้วนพูดกันว่าอ๋องฉีไม่เข้าใกล้ผู้หญิง เป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้คงเป็นการแสดง แต่สองสาวจากจวนมหาเสนาบดีเข้าไปพร้อมกันก็ว่าไปอย่าง แต่ยังพัวพันกับจิ่นอวี๋อีก ช่างแยกได้ยากเสียจริง”
“แม้ว่าเธอจะมีฐานะเป็นจวิ้นจู่ แต่ว่าพ่อแม่ของเธอก็ตายไปหมดแล้ว เธอเองก็ไม่มีที่พึ่งพิงแม้แต่พระสนมฮุ่ยเฟยเองก็ไม่สนับสนุนเธอ เธอยังมีหวังจะได้เป็นพระชายาในจวรนอ๋องอีกหรือ”
“นั่นคงต้องดูวิธีการของเธอแล้ว จิ่นอวี๋คนนี้ไม่ต่างอะไรจากบัวที่อยู่ในโคลนตมเลย จิตใจสกปรก ขอเพียงแค่ได้แต่งเข้าไปในจวนอ๋องได้ เกรงว่าจะไม่ได้เป็นแค่พระชายารอง เธอจะต้องพ่นพิษออกมาแน่ สองสาวพี่น้องตระกูลเหลิ่งนั่นไม่ใช่คู่มือเธอเลยสักนิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา
โอ๊ยยยยยยย ปวดตับ น้ำตาท่วมเลยยยยย ฮือออออออ😫😫...
แอดน่ารักที่ซู๊ดๆๆๆๆๆๆ...
นางเอก บ้า วันๆ ทำแต่เรืองไร้สาระ...
ปญอ. พระเอกนางเอก ทะเลาะกันทั้งเรื่อง...
เมื่อไหร่จะหย่าซะที ได้แต่พูด เบื่อ...
แอดกลับจากพักร้อนแล้ว ดีใจจัง จุ๊ฟๆๆๆ...
แอดขา...ตอนนี้กำลังจะเริ่มพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อตามแอดกลับมาอัพต่อแล้วนะคะ..แอดอยู่หนายยยย..จุ๊กกรู๊ๆๆๆๆๆๆ😅😄🤗😊...
แอดดดดดดด ลูกบ้านให้อภัยแล้ววววว กลับมาเร็วๆ...
แอดขาาาาาา หนีเที่ยวอีกแล้ว สงสารเถอะ อัพหน่อย...
ไหงตัดจบกันแบบนี้🙄🙄...