ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 160

เหลิ่งชิงฮวนหันหลังกลับไปรินน้ำใส่แก้วอย่างเชื่องช้าจากนั้นก็ยื่นไปให้มู่หรงฉี เขายกขึ้นดื่มรวดเดียวจดหมด พยายามกลั้นกลืนความขมที่อยู่ในปากเอาไว้

“เจ้าจงใจทำ!”

เหลิ่งชิงฮวนมองเขาอย่างยิ้มๆ “ท่านพูดถูกแล้ว หม่อมฉันตั้งใจทำนั่นแหละ หม่อมฉันไม่ใช่คนพิถีพิถันเช่นนั้น และไม่ใช่คนที่เอาใจใส่ละเอียดรอบคอบเช่นนั้น ตอนนี้เข็มก็ฝังเรียบร้อยแล้ว ยาก็กินเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็รีบกลับไปที่ห้องตำราของท่านได้แล้วเพคะ หรือไม่ท่านก็กลับเรือนจื่อเถิงของท่านไป หม่อมฉันไม่ขอปรนนิบัติรับใช้นะเพคะ”

“ฉีเอ๋อร์ป่วยหนักขนาดนี้ เจ้ายังจะไล่เขาออกไปอีกหรือ?”

ฮุ่ยเฟยที่รอจนอดทนไม่ไหว เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้วจึงเดินมา แต่เพิ่งจะมาถึงหน้าประตูก็บังเอิญมาได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของเหลิ่งชิงฮวนเข้า จึงแหวกผ้าม่านออกและไต่ถามอย่างไม่พอใจ

“จวนมหาเสนาบดีเลี้ยงดูลูกสาวมาอย่างไรกัน? สามีของตัวเองป่วยทั้งคน ตัวเจ้าในฐานะที่เป็นถึงภรรยา ก็ควรต้องดูแลเอาใจใส่ ค่อยปรนนิบัติป้อนยาให้ข้างกายไม่ให้ห่างไม่ใช่หรือ? ช่วงนี้ฉีเอ๋อร์ของข้าต้องใช้ชีวิตแบบไหนกัน ถึงได้อัดอั้นตันใจถึงขนาดที่ต้องไปพำนักอยู่ในห้องตำราเพียงลำพัง? จวนอ๋องแห่งนี้แท้จริงแล้วแซ่มู่หรงหรือแซ่เหลิ่งกันแน่?”

ไอหยา ยกขึ้นมาเป็นประเด็นอีกแล้ว ก็แค่นอนในห้องตำราเท่านั้นเอง ทำราวกับว่าตัวเองไปแย่งชิงบัลลังก์ยังไงยังงั้น

เหลิ่งชิงฮวนยังไม่ทันได้ปริปากอธิบายอะไรออกไป มู่หรงฉีก็รีบแย่งพูดขึ้นมาก่อน “เป็นลูกเองที่ยั่วโมโหนางเมื่อวาน นางพูดเพราะโกรธลูกเท่านั้น เป็นแม่นางที่ปากแข็งแต่จิตใจดี เสด็จแม่วางใจได้ขอรับ รีบกลับเข้าวังก่อนเถอะ อีกสักพักประตูวังก็จะปิดแล้วนะขอรับ”

“ดูสภาพเจ้าตอนนี้เสียก่อน อีกทั้งพวกนางยังไม่คิดจะสนใจเจ้าแบบนี้ จะให้เสด็จแม่อย่างข้าวางใจกลับวังไปได้อย่างไรกันเล่า? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ของแม่นางเหลิ่งชิงฮวนผู้นี้ ยังไม่ได้สะสางบัญชีเสียด้วยซ้ำ! หากไม่ลงโทษอย่างหนักจะทำให้นางเข้าใจถึงหน้าที่ของภรรยาได้อย่างไร?”

ฮุ่ยเฟยถลึงตามองเหลิ่งชิงฮวน เหลิ่งชิงฮวนทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็น คนฉลาดต้องรู้จักหลบหลีกเมื่อเจอสถานการณ์เข้าตาจน ขอเพียงมู่หรงฉีทำให้พระสนมฮุ่ยเฟยกลับไปได้ ตัวเองค่อยๆทะเลาะกับมู่หรงฉีทีหลังก็ยังไม่สาย

มู่หรงฉีใช้แรงทั้งหมดที่มีพลิกตัวกลับมา “แต่หากเสด็จแม่ลงโทษนางหนักๆ ใครจะมาดูแลลูกกันขอรับ?”

จิ่นอวี๋ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมเอ่ย “หากพระสนมฮุ่ยรู้สึกไม่ไว้วางใจล่ะก็ ถ้าอย่างไงให้จิ่นอวี๋อยู่ดูแลท่านพี่ดีไหมเพคะ? จิ่นอวี๋จะเฝ้าเอาไว้ไม่ให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว จะดูแลท่านอ๋องเป็นอย่างดีแน่นอนเพคะ”

what?

ที่นี่มีทั้งภรรยาเอก ภรรยารอง อนุอีกมากมาย เจ้าจะอยู่ที่นี่ทำไมมิทราบ?

ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ

พระสนมฮุ่ยเฟยกลับพยักหน้าเห็นด้วยเสียได้ “ก็ดีเหมือนกัน เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลฉีเอ๋อร์ก็ดี ข้าจะได้วางใจได้ รอให้ร่างกายของฉีเอ๋อร์แข็งแรงดีขึ้นเมื่อไร เจ้าค่อยกลับเข้าวังไปก็ยังไม่สาย ส่วนเหลิ่งชิงฮวน เหอะๆ ดูเหมือนจะต้องหาแม่นมจากในวังมาอบรมสั่งสอนกฎระเบียบสักหน่อยแล้ว”

จะทิ้งจิ่นอวี๋เอาไว้แล้วจากไปจริงๆงั้นหรือ

วิธีเช่นนี้ดูเกินไปหน่อยไหม ไม่เพียงแค่เหลิ่งชิงฮวนกับมู่หรงฉีเท่านั้นที่อึ้งไป แม้แต่เหลิ่งชิงหลางยังรู้สึกอึ้งเล็กน้อยเช่นกัน

แม่จ้าวกระตุกแขนเสื้อของเหลิ่งชิงหลางอย่างเงียบๆ นางถึงได้เรียกสติกลับมาได้ ถึงยังไงก็ไม่มีเรื่องของตัวเองแล้ว ขืนอยู่ต่อไปอาจถูกร่างแหไปเกี่ยวพันด้วย

“ในเมื่อแม่นางจิ่นอวี๋จะอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นขอตัวกลับเรือนจื่อเถิงก่อนนะเพคะ อีกสักพักหากเจ้าเหนื่อยแล้วก็สามารถแจ้งสาวใช้ให้มาเรียกข้าได้”

จากนั้นก็หันหลังพาแม่จ้าวเดินกลับเรือนไปนอน

เหลิ่งชิงฮวนถลึงตาใส่มู่หรงฉี เพราะเหลิ่งชิงฮวนเองก็อยากไปเหมือนกัน แต่ไม่มีที่ให้ไป

น้ำเสียงของจิ่นอวี๋ที่นุ่มนวลราวกับปุยฝ้ายเอ่ยพูดขึ้น “ท่านพี่คงยังไม่ได้รับประทานอาหารดีๆมาทั้งวัน ตอนนี้หิวแล้วใช่หรือไม่เพคะ? จิ่นอวี๋จะได้สั่งให้คนไปทำโจ๊กมาให้ท่านพี่ทาน?”

มู่หรงฉีแอบชำเลืองมองเหลิ่งชิงฮวนเล็กน้อยและหลับตาลง “ไม่หิว”

และก็ไม่กล้าหิวด้วย

“ไม่ได้นะเพคะ ต่อให้ท่านไม่รู้สึกหิวแต่แม่นางจิ่นอวี๋ก็ต้องกินข้าวนะเพคะ ถึงยังไงงานปรนนิบัติรับใช้ท่านเป็นงานต้องใช้แรงนะ” คำพูดของเหลิ่งชิงฮวนมีแอบแฝงไปด้วยการประชดประชัน

จิ่นอวี๋คุ้นเคยกับในจวนอ๋องแห่งนี่ดี จึงรีบออกไปสั่งให้เตรียมอาหารเย็นอย่างคล่องแคล่ว คำพูดคำจาสั่งจัดการได้ดีกว่าตัวเองที่เป็นนายหญิงของที่นี่เสียอีก

วันนี้เหลิ่งชิงฮวนเหนื่อยมาทั้งวัน เริ่มปวดเอวปวดขาตั้งนานแล้วอยากจะอาบน้ำและขึ้นเตียงนอนเพื่อพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ แต่เพราะท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านมาแย่งห้องของตัวเองอยู่ และยังพูดจาหวานเลี่ยนให้กันและกัน เห็นแล้วก็รู้สึกอึดอัด แต่จะหันหลังกลับไปก็รู้สึกไม่อยากไป

ต่อให้ตอนนี้ตัวเองไม่ใช่พระชายาอ๋องแล้ว แต่ที่นี่ยังคงเป็นถิ่นของตัวเองอยู่ เห็นได้ชัดว่าจิ่นอวี๋ต้องการแสดงอำนาจใส่ตัวเองจะยอมให้ง่าย ๆ ได้อย่างไร?

เกรงว่าฮุ่ยเฟยน่าจะยังไม่รู้เรื่องที่ตัวเองหย่ากับมู่หรงฉีแล้ว แม้ว่าฮุ่ยเฟยจะมีคนคอยเป็นหูเป็นตาอยู่ในจวนอ๋อง เพื่อจะได้ค่อยติดตามและรับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของลูกชายได้ แต่เรื่องที่หย่ากันถูกมู่หรงฉีสั่งให้เก็บเอาไว้ไม่ให้เผยแพร่ออกไป คนอื่นๆจึงไม่กล้าพูดไร้สาระปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา

ทางด้านเหลิ่งชิงหลางก็รู้ดีแก่ใจถึงความทะเยอทะยานของจิ่นอวี๋ ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เดี๋ยวจะเป็นการชักศึกเข้าบ้านเสียเปล่า

ในฐานะที่เป็นหญิงสาวหัวสมัยใหม่ทำอะไรด้วยตัวเองได้ ทั้งงานในบ้านและงานนอกบ้านก็ทำได้หมด อีกทั้งยังสู้และรับมือกับพวกเมียน้อย ป้องกันตัวเองจากผู้ชายมักมากได้ ทักษะเหล่านี้ล้านเป็นสิ่งที่หญิงยุคใหม่พึงมีทั้งนั้น แม้ว่าเมียน้อยนางนี้จะไม่เป็นที่สนใจของมู่หรงฉีก็ตาม แต่นางคนนี้สูงส่งตรงที่ไร้ยางอายนี่สิ

สำหรับอาหารเย็นถูกจัดส่งมาอย่างรวดเร็ว เหลิ่งชิงฮวนลงมานั้งลงที่โต๊ะ พร้อมถือชามกินอย่างเอร็ดอร่อย ทักษะการทำอาหารของพ่อครัวในจวนนี้ดีจริงๆ พิถีพิถันกว่าแม่หวังเสียอีก

จิ่นอวี๋ตักโจ๊กใส่ชามหยกสีขาว และนั่งลงที่ขอบเตียง จากนั้นก็เปิดปากรูปงามออกแล้วค่อย ๆ เป่าโจ๊กให้เย็น และพูดเกลี้ยกล่อมขึ้นมาด้วยเสียงนุ่มนวล "ท่านพี่เพคะ ทานโจ๊กหน่อยเถอะเพคะ?"

มู่หรงฉีมองไปยังใบหน้าของเหลิ่งชิงฮวนด้วยความคับแค้นใจเล็กน้อย เคืองจนต้องกัดฟันเอ่ย “เหลิ่งชิงฮวน!”

เหลิ่งชิงฮวนแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร “โจ๊กต้องกินตอนร้อนๆนะ กินลงท้องแล้วจะช่วยในการขับเหงื่อออกมา และทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น อาการตัวร้อนจะลดลงในทันที ท่านอย่าได้ทำลายความปรารถนาดีของแม่นางจิ่นอวี๋ที่มีให้เลยนะเพคะ”

จิ่นอวี๋ก้มหน้าลงเอาหน้าซุกไว้อยู่ตรงช่วงอกด้วยความเขินอายเล็กน้อย

มู่หรงฉีพ้นลมหายใจเสียงดัง ฟืดฟาด ออกมาอย่างรุนแรง

“ถึงอย่างไรนางก็เป็นแขกนะ เหลิ่งชิงฮวน เจ้าควรจะรู้จักเกรงใจเสียบ้าง?”

“ท่านอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว จิ่นอวี๋จวิ้นจู่ล้วนเป็นของคนกันเองทั้งนั้น จะเกรงใจไปทำไมกันเพคะ?”

เพลานี้มู่หรงฉีเองก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทีของเหลิ่งชิงฮวนที่ใจจืดใจดำเช่นนี้ ก็ไม่คาดหวังอีกต่อไปว่านางจะมาป้อนข้าวป้อนน้ำตัวเองอย่างอ่อนโยนและเอาใจใส่ได้ ทำไมช่องว่างระหว่างกันและกันถึงได้ห่างเหินได้ถึงเพียงนี้

จากนั่นจึงรับชามโจ๊กมาถือ และซดเข้าไปสองสามคำจนหมดเกลี้ยง ไม่ปล่อยโอกาสให้จิ่นอวี๋ได้แสดงความรักอย่างลึกซึ้งออกมาได้จึงทำการป้อนข้าวตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะเป็นการยั่วยุเหลิ่งชิงฮวนได้ หากทำอะไรอวดฉลาดออกไปอาจทำให้เรื่องแย่ขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน

“อิ่มแล้วล่ะ”

โกรธจนอิ่ม

จิ่นอวี๋รับชามมาไว้ในมือ และไม่ลืมที่จะใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือช่วยเขาเช็ดที่มุมปาก จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน และหมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะ เอาชามและช้อนน้ำซุบที่มู่หรงฉีเคยทานแล้วมาตักข้าวใส่ และทานต่ออย่างเอร็ดอร่อย แต่ยังไม่ลืมที่จะแสดงความเหนือกว่าออกมาด้วยการยิ้มน้อยๆใส่เหลิ่งชิงฮวน

“นานมากแล้วที่ไม่ได้กินอาหารจากพ่อครัวในจวน เมื่อก่อนมาที่นี่เป็นประจำ แต่ตั้งแต่ท่านพี่แต่งงานไปแล้ว จึงห่างเหินออกไปบ้างเล็กน้อย”

เหลิ่งชิงฮวนแสดงท่าทีค่อนข้างเป็นมิตรกับจิ่นอวี๋ ไม่ลืมที่จะใส่ใจนางด้วยการคีบกับข้าวให้ แม้แต่คำพูดจำพวก ลำบากแล้ว” “อย่าได้เกรงใจ ที่แสดงถึงท่าทางของนายหญิงที่เป็นผู้ดิบผู้ดีโอบอ้อมอารียังเอ่ยขึ้นมา

มู่หรงฉีที่เอนกายอยู่บนเตียง มองดูทั้งสองคนที่มีท่าทีเหมือนพี่น้องที่รักใครกันอย่างลึกซึ้ง เจ้าดีกับข้าข้าดีกับเจ้าเช่นนี้ ในใจเหมือนมีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นอยู่ตลอด เพราะเขาไม่เชื่อหรอกว่าเหลิ่งชิงฮวนจะใจกว้างได้เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการยั่วยุของจิ่นอวี๋เช่นนี้ กลับทำท่าทีขอบคุณอย่างซาบซึ้งเสียได้

หลังจากทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ยาที่มู่หรงฉีทานไปก็เริ่มออกฤทธิ์ออกมาแล้ว เหงื่อออกมาทั่วร่างกาย จิ่นอวี๋ก็ปรนนิบัติยุ่งวุ่นวายมือเป็นพัลวัน โดยการช่วยเขาเช็ดเหงื่อเมื่อเห็นว่าไข้ค่อยๆ ลดลงแล้วความง่วงก็เข้ามาครอบงำ

หลังจากเหลิ่งชิงฮวนไปอาบน้ำที่ห้องของโตวโตวเสร็จแล้ว ก็กลับมาพร้อมกับการสวมรองเท้าแบบสวมที่ปักลวดลาย ด้วยหน้าตาสะลึมสะลือง่วงนอน

“เพลานี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าได้สั่งให้คนรับใช้ในจวนจัดเตรียมห้องรับแขกให้จิ่นอวี๋จวิ้นจู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นางจิ่นอวี๋ไปพักผ่อนที่ห้องเถอะเจ้าคะ?”

จิ่นอวี๋มองไปที่มู่หรงฉีด้วยสีหน้ากังวลใจเล็กน้อย “ตอนนี้ท่านพี่ยังคงตัวร้อนอยู่เล็กน้อย จิ่นอวี๋กังวลว่าตอนกลางดึกท่านพี่จะกระหายน้ำ หรือไม่ก็มีตรงไหนที่ไม่สบายตัว”

เหลิ่งชิงฮวนกะพริบตาปริบๆ “ก็แค่อาการป่วยเพราะลมหนาวธรรมดาเท่านั้นเอง นอกประตูยังมีองครักษ์ค่อยเฝ้ายามอยู่ หากท่านอ๋องต้องการสิ่งใด แน่นอนว่าย่อมมีบ่าวรับใช้ค่อยดูแลอยู่แล้วเจ้าค่ะ”

จิ่นอวี๋กัดริมฝีปากเบาๆ “บ่าวรับใช้พวกนั้นทำอะไรเลินเล่อ จิ่นอวี๋ไม่วางใจเจ้าค่ะ”

“ถ้าเช่นนั้นแม่นางจิ่นอวี๋คิดว่าจะอยู่เฝ้าอาการข้ามคืนเช่นนั้นหรือ?”

จิ่นอวี้พยักหน้า “หากพี่สะใภ้รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว ก็เชิญไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ มอบท่านพี่ให้ข้าดูแลก็ได้ ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ”

เหลิ่งชิงฮวนยิ้มหวานขึ้นมาเล็กน้อย “ในเมื่อแม่นางจิ่นอวี๋มีความตั้งใจเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าเองก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน”

ในใจจิ่นอวี๋มีความสุขขึ้นมาในทันที ราตรีหนึ่งช่างเนิ่นนาน อดใจไม่ไว้อยากจะมีโอกาสได้อยู่กับมู่หรงฉีตามลำพังเช่นนี้ “พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจไปเจ้าค่ะ”

เหลิ่งชิงฮวนบิดเอวอย่างขี้เกียจ และลากรองเท้าเดินไปที่หน้าเตียงของมู่หรงฉีและสะกิดเขาอย่างไม่เกรงใจ “เขยิบเข้าไปข้างในให้เหลือที่ว่างหน่อยเพคะ!”

มู่หรงฉีที่กำลังแกล้งหลับอยู่นั้นลืมตา พรึ่บ ขึ้นมาทันใด จากนั้นก็กลิ้งตัวไปด้านในของเตียง ช่างเป็นอะไรที่รู้สึกดีสุดๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา