ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 166

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดก้าวไปข้างหน้าและเคาะประตู

“มีอะไรหรือ?” มู่หรงฉีเอ่ยถามด้วยเสียงไม่พอใจ

“ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงานให้ทรงทราบขอรับ”

“เข้ามา” มู่หรงฉีเอ่ยพูดอย่างเรียบเฉย

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดผลักประตูเข้าไป ตามคาดถาดเผากระดาษวางอยู่ตรงกลางห้อง มู่หรงฉีกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ข้างหน้าถาดและโยนจดหมายเข้าไปไม่หยุด บางครั้งเปลวไฟก็ถูกกลบให้ดับลง และมีควันพวยพุ่งออกมาเบา ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆจุดประกายไฟขึ้นมา ทั้งหมดถูกเปลวไฟเผาไหม้ไปหมด

“พวกจดหมายที่ส่งข้อมูลที่เป็นความลับนะ หากมอบให้คนอื่นไปทำข้าไม่ไว้วางใจ ข้าจึงเผาด้วยตัวเอง” มู่หรงฉีดูเหมือนจะกำลังอธิบายให้เขาฟังอยู่

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงเดินเข้ามาหา และนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้ามู่หรงฉี “เมื่อครู่นี้พระชายาไปหาข้าน้อยที่เรือน นางบอกว่าวันนี้มีหัวขโมยบุกเข้าไปหานาง”

เปลือกตาของมู่หรงฉีไม่แม้แต่จะยกขึ้นมามอง แต่สำลักเข้ากับควันที่ลอยขึ้นมาอย่างกะทันหันจนไอออกมา และขยี้ตาเล็กน้อย

“ทำไมโจรถึงล็อกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำเลือกไปหานางที่นั่นได้? มีของอะไรหายหรือไม่?”

“พระชายาบอกว่า ไม่มีของอะไรหายไป แต่ว่าตอนที่หัวขโมยกำลังหนีไปด้วยความตื่นตระหนกนั้นได้โยนเสื้อผ้าของนางลงไปในน้ำ ตั๋วเงินทั้งหมดในนั้นถูกทำลายทั้งหมด”

มุมปากของมู่หรงฉีแอบกระตุกยิ้มขึ้นมาไม่ให้เห็น และพูดอย่างเรียบเฉย “หัวขโมยคนนี้ช่างกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว จะต้องลงโทษอย่างหนักไม่อาจอภัยให้ได้ พระชายาได้บอกไหมว่าหัวขโมยคือคนไหนหรือไม่?”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดส่ายหน้า “พระชายาบอกว่าอีกฝ่ายใช้ผ้าสีดำปิดหน้าไว้ มองไม่เห็นใบหน้า แต่ว่า ดวงตาของเขาโดนยาของพระชายาฉีดใส่ ดังนั้นข้าน้อยจึงทำการตรวจสอบคนในจวนทีละคน คาดไม่ถึงว่าจะเจอจริง ๆ”

มู่หรงฉีเอาแต่มองต่ำตลอดเวลา เมื่อได้ยินรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดพูดมาแบบนี้ จึงถามออกไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ได้อะไรมาหรือ?”

“หลินซานที่เป็นคนสวนในจวนเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุครั้งใหญ่นี้ขอรับ” รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวอย่างตื่นเต้น ราวกับกำลังขอเอาความดีความชอบ

มู่หรงฉีผงะไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดแวบหนึ่ง “ทำไมถึงเห็นว่าเป็นเขา”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าดวงตาของท่านอ๋องของตัวเองแดงก่ำทั้งสองข้าง ตาสีแดงเหมือนกับกระต่ายก็ไม่ปาน

“ท่านอ๋อง ท่าน ดวงตาของท่าน...”

มู่หรงฉีเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “ข้าถูกรมควันด้วยสิ่งนี้”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดรู้สึกว่า ท่านอ๋องของตัวเองหน้าตาหล่อเหลา พูดอะไรก็ถูกไปหมด

“ดวงตาของหลิวซานนั้นเหมือนกับท่านอ๋องเลยขอรับ แต่ว่าบวมแดงหนักมาก เขาอ้างว่าเขาถูกผึ้งต่อยตอนที่เขาดูแลดอกไม้และต้นไม้อยู่ แต่ข้ากับท่านหมอสรุปผลออกมาว่า เขาอาจจะจงใจปิดบังความผิดเพราะโดนจับได้ เลยต้องการปกปิดหลักฐาน!”

มือของมู่หรงฉีหยุดชะงักขึ้นมาชั่วคราว “ด้วยเหตุผลแค่นี้งั้นหรือ?”

“นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่าโจรที่เห็นกับตาตัวเองคนนั้นสวมชุดสีแดงทั้งชุด กระโดดขึ้นหลังคาและก็หายตัวไปเลย แต่พระสนมกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนว่าหัวขโมยคนนั้นสวมชุดสีดำขอรับ นี่ก็เห็นชัดๆแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาพูดจาไร้สาระ?”

มู่หรงฉีปัดขี้เถ้าในมือออก “ถ้าหากเป็นเขาจริงๆ ทั้ง ๆที่รู้ว่าตอนนั้นคนผู้นั้นสวมชุดสีดำ ทำไมเขาถึงต้องเปลี่ยนคำให้การเพื่อทำให้คนอื่นสงสัยด้วยเล่า?”

“เอ๋...จริงด้วยขอรับ” รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเหมือนรู้สึกว่าจะละเลยประเด็นนี้ไป “ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่เขาหรือ?”

มู่หรงฉีหรี่ตาลงเล็กน้อย “แม้ว่าจะไม่ใช่เขา แต่ต้องสอบสวนให้ชัดเจน ว่าทำไมเขาต้องโกหกว่าคนผู้นั้นสวมชุดสีแดงด้วย? หรือว่าเขาจะกลัวความผิด หรือว่าพูดจาไร้สาระไปเรื่อย หรือว่ามีใครสั่งการมา?”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเอ่ยพูดประจบสอพลออย่างจริงจัง “ท่านอ๋องช่างฉลาดล้ำลึกยิ่งนัก พูดเพียงคำเดียวก็สามารถปลุกคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝันให้ตื่นได้ ช่วงขณะหนึ่งเหมือนได้พบกับทางสว่างเลย อีกทั้งยังได้รับความรู้อีกมากมาย”

มู่หรงฉีจ้องมองเขาอย่างหงุดหงิด “และยังจะตกตะลึงทำอะไรอยู่ที่นี่? รีบไปสอบปากคำให้ชัดเจนเร็วเข้า”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดลุกตัวขึ้นยืน และพูดแสดงความคิดเห็นอย่างกระตือรือร้น “แล้วท่านอ๋องไม่ไปสอบถามพระชายาสักหน่อยหรือขอรับ? ดูว่าเจ้าหัวขโมยคนนั้นแอบเข้าเรือนฉาวเทียนจริงๆมีจุดประสงค์อะไร? เป็นเพราะต้องการขโมยตั๋วเงินที่อยู่ในเสื้อผ้าของพระชายาหรือไม่? หรือเป็นเพราะว่ามีเจตนาไม่ดีกับพระชายากันแน่ขอรับ?”

สีหน้าของมู่หรงฉีบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ “ให้ข้าไปสอบถามนางงั้นหรือ? เจ้ากำลังคิดจะยุแยงตะแคงรั่วอยู่ใช่ไหม?”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดหัวเราะแห้งๆออกมาเล็กน้อย และเดินออกไปพลางพร้อมกับพูดพึมพำไปพลาง “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรขอรับ? ข้าน้อยจะออกไปเดี๋ยวนี้ หากค้นหาหัวขโมยคนนั้นเจอ พระชายาบอกเอาไว้ว่าจะแยกร่างของเขาออกแล้วสับเป็นชิ้นเพื่อนำไปแลกเงิน”

มือของมู่หรงฉีที่โยนของลงในกระถางเผาแข็งทื่อขึ้นมา ทันใดรู้สึกว่าเหมือนมีลมหนาวๆพัดผ่านที่ด้านหลังรู้สึกเสียวสันหลังวาบ และภาพอันอ่อนโยนที่หลงเหลือเล็กน้อยอยู่ในใจก็หายวับไปทันที

ผ่านไปสักพัก รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็กลับมาอีกครั้ง

“เป็นอย่างที่ท่านอ๋องพูดออกมาไม่มีผิด หลิวซานไม่ใช่หัวขโมยคนนั้นจริงๆ เมื่อครู่นี้ข้าทั้งข่มขู่และใช้ทัณฑ์ทรมานเขา เขาทนไม่ไหวจึงสารภาพตามตรงออกมาขอรับ”

มู่หรงฉีกำลังเงยหน้าประคบน้ำแข็งที่ดวงตาอยู่ “เขาสารภาพว่าอย่างไร?”

“เขาบอกว่าเขาไม่ได้เห็นขโมยคนนั้นเข้าออกจริงๆ แต่เพราะกลัวจะถูกเข้าใจผิด ดังนั้นจึงพูดไร้สาระไปเรื่อยเปื่อยออกมา เพราะนึกถึงครั้งที่แล้วที่มีหัวขโมยลอบเข้ามาในจวนก็ใส่ชุดสีแดง จึงเอามาเชื่อมโยงเข้าหากัน และเขายังบอกอีกว่าหลังจากที่ถูกผึ้งต่อย พระชายารองก็เคยเห็นตาของเขากับตาตัวเอง สามารถเป็นพยานได้”

มู่หรงฉีทำเสียงขึ้นจมูกฮึกฮักเบาๆ “เหลิ่งชิงหลางเคยเห็นงั้นหรือ? เกรงว่าเจ้าหลิวซานผู้นี้จะไม่มีความซื่อสัตย์ ยังต้องแอบซ่อนอะไรเอาไว้อยู่อีก? เขาคงไม่ต้องการงานนี้แล้วสินะ”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดรู้สึกสับสนเล็กน้อย และหันหลังกลับไปอีกครั้ง เวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็กลับมาอย่างตื่นเต้น และยกนิ้วหัวแม่โป้งชื่นชมมู่หรงฉี “กลยุทธ์ที่ท่านอ๋องวางไว้ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านจริง ๆ และข้าน้อยเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง”

“มาอยู่ที่จวนอ๋องแห่งนี่ เจ้าเรียนรู้คำพูดประจบสอพลอพวกนี้ได้เร็วเชียวนะ”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดหัวเราะแหะๆ “เจ้าหลิวซานผู้นี้พอทำให้ตกใจกลัวหน่อย ครั้งนี้เขาก็พูดความจริงออกมาแล้ว เขาบอกว่าพระชายารองได้บอกกับเขาไว้ว่า ในจวนกำลังตาล่าหาโจรที่บุกเข้าห้องพระชายาอยู่ โจรผู้นั้นสวมชุดสีแดงและปิดหน้าเอาไว้ ดวงตาของโจรถูกพระชายาทำให้ได้รับบาดเจ็บ ได้ยินมาว่าตอนนี้ยังคงบวมแดงอยู่ หากเขาถูกพบในสภาพนี้ แม้จะกระโดดลงไปในแม่น้ำฮวงก็ไม่สามารถชำระล้างความผิดนี่ออกได้”

หลิวซานถูกทำให้กลัวจนสติกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงขอให้พระชายารองเป็นพยานให้ พระชายารองจึงสอนเขาให้พูดแก้ต่างออกไปตามนี้ หลิวซานตอนนี้ยังรู้สึกขอบคุณพระชายารองอยู่เลย ไม่รู้เลยสักนิดว่ากำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมืออยู่

มู่หรงฉีเอาผ้าที่ประคบตาออกจากดวงตาและขยี้ดวงตาอย่างแรง เพราะยังคงรู้สึกไม่สบายตาอยู่เล็กน้อย “ในเมื่อหลิวซานซาบซึ้งต่อเหลิ่งชิงหลางเยี่ยงนั้น ถ้าเช่นนั้นก็ส่งเขาไปทำงานที่เรือนจื่อเถิงเถอะ บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ทางด้านพระชายานั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรที่มันมากความไป”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้าใจในทันที ท่านอ๋องกำลังมีเจตนาที่จะตักเตือนเหลิ่งชิงหลางทำให้รู้สึกเกรงกลัว

จากนั้นเขาก็เอ่ยเตือนมู่หรงฉีอีกครั้งด้วยความหวังดี “ดวงตาของท่านยังคงแดงอยู่เลย ถ้ายังไงให้พระชายามาช่วยดูให้ท่านดีหรือไม่ขอรับ?”

ผ้าเช็ดหน้าในมือของมู่หรงฉีถูกโยนเข้าไปในอ้อมแขนของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด

“ก็แค่ควันเข้าตานิดหน่อย ข้าดูบอกบางขนาดนั้นหรือยังไง? หากกล้าให้พระชายารู้เข้า ข้าจะรมควันเจ้าค่อยดู”

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำปากขมุบขมิบ ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรือ? ต่อให้พระชายารู้เรื่องนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นห่วงท่านสักหน่อย อีกอย่างตาแดงๆของท่านอ๋องรู้สึกจะดูแปลกๆเล็กน้อยนะ

เหอะๆ หรือว่าแอบไปดูในสิ่งที่ไม่ควรเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้?

รุ่งเช้าของวันถัดไป ทันทีที่เปิดประตูจวนอ๋องคนเฝ้าประตูก็วิ่งหน้าตั้งเข้าไปที่ห้องตำราของมู่หรงฉีทันที

มู่หรงฉีเพิ่งจะฝึกซ้อมดาบเสร็จ ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ

คนเฝ้าประตูทูลรายงานขึ้น “กราบทูลท่านอ๋อง คุณชายใหญ่จากจวนมหาเสนาบดีมาขอเข้าเฝ้า มารออยู่ข้างนอกประตูเรียบร้อยแล้วขอรับ”

เหลิ่งชิงเฮ่อ? มาทำอะไรเช้าขนาดนี้กันนะ?

มู่หรงฉีโยนดาบในมือทิ้ง และใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อ “เชิญเขาไปรอที่ห้องรับรองและดื่มน้ำชารอก่อน ข้าจะกลับไปเปลี่ยนชุดและจะรีบตามไป”

คนเฝ้าประตูยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน “คุณชายเหลิ่งไม่ยอมขอรับ”

มู่หรงฉีหันกลับมาด้วยความแปลกใจ “เพราะอะไร?”

“คุณชายเหลิ่งบอกว่า ในเมื่อท่านอ๋องหย่ากับพระชายาแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันอีก จะดูเป็นการไม่สมควรถ้าจะถือวิสาสะเข้าไปข้างใน เขามาที่นี่เพื่อมารอรับพระชายากลับจวนมหาเสนาบดีขอรับ”

จวนมหาเสนาบดีรู้เรื่องนี้แล้วงั้นหรือ? พี่เขยจึงมาถึงที่นี่เพื่อถามซักไซ้เอาความเป็นแน่?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา