ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 192

เหลิ่งชิงหลางได้ข่าวว่ามู่หรงฉีฟื้นแล้ว ก็รีบมาทันที ในมือยังถือถุงดอกไม้เล็กๆ หนึ่งใบ

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและคนอื่นๆ นั้นรู้สึกราวกับมีศัตรูมาโจมตี ต่างยืนอยู่ในห้องเป็นก้านขวางคอ

เหลิ่งชิงหลางเดินมาอยู่ที่ข้างเตียง แล้วถามด้วยสีหน้าห่วงใยว่า "ในที่สุดท่านอ๋องก็ฟื้น หม่อมฉันเป็นห่วงแทบแย่เพคะ"

มู่หรงฉียิ้มเยือกเย็น โบกมือให้ทุกคนนั้นออกไป รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดแอบหลบอยู่ที่นอกห้อง เขารู้สึกไม่ค่อยไว้ใจ หากผู้หญิงคนนี้คิดทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายกับนายตนเองทำยังไง ตอนนี้ท่านอ๋องไม่มีแรงจะสู้ก็จะถูกอีกฝ่ายนั้นล่อลวงได้ ตนเองนั้นก็เป็นตัวอย่างได้

"ข้านอนหมดสติไปนานเลยหรือ"

"ท่านนอนหมดสติมาสองวันสองคืนแล้วเพคะ! ท่านพี่ยังไม่ให้เข่าวังไปรับหมอหลวงมา แล้วก็ไม่ให้ชิงหลางมาดูแลท่านอยู่ใกล้ๆ" เหลิ่งชิงหลางใช้ผ้าซับน้ำตา "ยังดีที่ท่านอ๋องกลับมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่เจอชิงหลางแล้วเพคะ"

"ทำไมถึงพูดแบบนั้น" มู่หรงฉีถามอย่างนิ่งๆ

เหลิ่งชิงหลางเอาถุงเล็กๆ ที่ถือนั้นมาวางแล้วเปิดออกต่อหน้ามู่หรงฉี ข้างในนั้นมีเบี้ยเงิน มีเครื่องประดับเพชรพลอยที่หลากหลาย

"นี่เป็นของมีค่าของหม่อมฉันทั้งหมดแล้วเพคะ รวมถึงเบี้ยเงินและเครื่องประดับต่างๆ ตามยอดที่พระชายากำหนดไว้ยังขาดอยู่บ้าง หม่อมฉันจะคิดหาวิธีรวบรวมให้ครบเอง หวังว่าท่านอ๋องจะยืดเวลาออกให้อีกหน่อย"

เสียงของเหลิ่งชิงหลางนั้นเต็มไปด้วยความน้อยใจ

"พระชายานั้นบอกว่าค่าใช้จ่ายการกินอยู่ของหม่อมฉันมันเกินเกณฑ์ที่จัดให้ในแต่ละเดือนไปมาก พอมาลองนับดูก็ให้หม่อมฉันคืนเบี้ยเงินทั้งหมดที่ติดค้างเอาไว้ แต่สินสอดทองหมั้นของหม่อมฉันก็มีแค่เบี้ยเงินเท่านั้น ต่อให้ขายหม่อมฉันไป ก็คงจะรวบรวมเบี้ยเงินที่จะต้องคืนไม่ครบหรอกเพคะ"

นางเงยหน้าขึ้นอย่างน่าสงสาร บนใบหน้ายังมีความบวมแดงที่ยังไม่จางหายไป

มู่หรงฉีขมวดคิ้ว "ใบหน้าของเจ้าเป็นอะไร"

เหลิ่งชิงหลางนั้นหลบหลีกอย่างลนลานแล้วกุมหน้าส่ายหัว "ไม่เป็นไรเพคะ"

"พูด!"

"เป็นเพราะหม่อมฉันพูดผิดไปเพราะความน้อยใจจริงๆ ท่านพี่สั่งตบปากหม่อมฉันก็ถูกแล้ว ต่อไปหม่อมฉันไม่กล้าทำแบบนี้แล้วเพคะ"

มู่หรงฉีถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ "เพียงแค่พูดผิดไปคำเดียวก็ตบเจ้าถึงขนาดนี้เลยรึ"

เหลิ่งชิงหลางกัดริมฝีปากแน่นแล้วเงยหน้าขึ้น "ท่านพี่เป็นพระชายา สั่งสอนหม่อมฉันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ท่านอ๋องอย่าโกรธเพราะเรื่องนี้เลยนะเพคะ จะได้ไม่ทำให้ท่านอ๋องกับท่านพี่นั้นผิดใจกัน"

มู่หรงฉีพยักหน้าอย่างเยือกเย็น "ในเมื่อเจ้าเข้าใจแบบนี้ รู้ว่าที่ชิงฮวนสั่งตบปากเจ้าเป็นเรื่องสมควร งั้นข้าก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว"

เหลิ่งชิงหลางเงยหน้าขึ้นอย่างตะลึง เมื่อกี้ฟังคำพูดของเขาก็ยังโกรธอยู่เลย ทำไมอยู่ๆ ถึงเปลี่ยนไปเข้าข้างเหลิ่งชิงฮวนแทน

เหลิ่งชิงหลางพูดตะกุกตะกักว่า "หม่อมฉันเข้าใจ ไม่กล้าบ่นอะไรเพคะ"

มู่หรงฉีสั่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่อยู่นอกห้องว่า "ในเมื่อพระชายารองมีความตั้งใจอยากจะคืนเบี้ยที่ติดค้าง งั้นก็เก็บพวกนี้ไปให้พระชายาก่อน บอกนางว่าครอบครัวเดียวกัน ยืดหยุ่นให้อีกหน่อยก็เป็นเรื่องปกติทั่วไป อย่าเอะอะก็จะขายคน ข้าไม่เอาศักดิ์ศรีเลยหรือไงกัน"

รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดนั้นเข้ามาในห้องแล้วพยายามกลั้นขำ จากนั้นก็รับเบี้ยเงินของเหลิ่งชิงหลางมาอย่างไม่เกรงใจ "ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าจะฝากคำพูดไปแน่นอนขอรับ หากพระชายารู้ว่าท่านเห็นใจที่ท่านต้องลำบากดูแลบ้าน สนับสนุนการทำงานของท่าน ท่านจะต้องดีใจมากขอรับ"

ส่วนเหลิ่งชิงหลางนั้นก็อึ้งและตะลึงอย่างมาก "ท่านอ๋อง ท่าน..."

ข้ามีเบี้ยเงินอยู่เท่านั้น แต่ท่านก็ยังเห็นสนใจและเก็บไปจริงๆ

มู่หรงฉีอารมณ์ดีอย่างมาก เขามองเหลิ่งชิงหลาง "ชิงฮวนนั้นเป็นเสาหลักของที่นี่ อาหารการกิน คบค้าไปมาหาสู่ล้วนต้องดูแล มันก็ไม่ง่ายจริงๆ ต่อไปเจ้าก็ปฏิบัติตนให้อยู่ในกฎระเบียบ อย่าทำให้นางลำบากใจ"

"แต่ท่านอ๋องก็รู้อยู่แก่ใจว่าท่านพี่นั้นไม่ได้มีใจตรงกับท่านนี่เพคะ"

สีหน้าของมู่หรงฉีนั้นเยือกเย็นทันที ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความโกรธ "การตัดสินใจของข้า เจ้ายังไม่มีสิทธิ์มาออกความเห็น"

เหลิ่งชิงหลางนั้นถึงกับพูดไม่ออกจึงต้องปิดปากอย่างเงียบๆ แล้วก้มหัวลง "ชิงหลางผิดไปแล้ว ท่านอ๋องโปรดให้อภัยเพคะ"

"ข้านั้นอดทนกับเจ้ามาหลายครั้งหลายหน มีหลายครั้งที่ให้อภัยเจ้าไม่ได้เอาเรื่องอะไร แต่น่าเสียดาย เจ้าผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก จงใจทำให้ชิงฮวนเสื่อมเสียชื่อเสียง เหลิ่งชิงหลาง ข้าคิดว่าบางทีเจ้าคงจะเหมาะกับการไปฝึกจิตฝึกใจที่สถานศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้าอยากไป ข้าจะสนองให้เอง"

เหลิ่งชิงหลางนั้นถึงกับตกใจจนคุกเข่าลงไปบนพื้น "หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าตนเองนั้นมีความผิดยังไง หม่อมฉันทำอะไรผิดไปเพคะ"

มู่หรงฉีมองนางอย่างเยือกเย็น "งั้นเจ้าก็กลับไปคิดทบทวนพิจารณาที่เรือนจื่อเถิงของเจ้าซะ รู้ว่าตนเองผิดตรงไหนแล้วค่อยมาขออภัยโทษกับข้า ไม่เช่นนั้น ห้ามออกจากเรือนจื่อเถิงแม้แต่ก้าวเดียว"

กักบริเวณ! เป็นไปได้ยังไง ตนเองนั้นพยายามพูดแทบตาย มีเหตุมีผล ทำไมเขาถึงยังเข้าข้างเหลิ่งชิงฮวน

"หม่อมฉัน..."

"ไสหัวไป"

เหลิ่งชิงหลางยืนอึ้งอยู่ข้างเตียงมู่หรงฉีสักพัก จากนั้นน้ำตาก็ไหลรินลงมาทันที นางกัดฟันแล้วก็วิ่งจากไป

มู่หรงฉีนั้นรู้สึกไม่เข้าใจ เมื่อก่อนตนเองนั้นกินยาพิศวาสไปหรือยังไงกัน ทำไมถึงได้ไม่เห็นกิริยาท่าทีที่จอมปลอมและนิสัยยั่วยุให้แตกแยกแบบนี้ของเหลิ่งชิงหลางกันนะ แถมยังฟังคำยั่วยุของนางแล้วเข้าใจชิงฮวนผิดบ่อยๆ

รองผู้บัญหาการทหารสูงสุดยกนิ้วให้มู่หรงฉี "ท่าทางเมื่อกี้ของท่านอ๋องนั้นช่างมีความเป็นชายมากที่สุดแล้ว ผู้หญิงบางคนจะตามใจมากไม่ได้ขอรับ"

มู่หรงฉีทำสีหน้าอึมครึม "ประโยคหลังมันเหมาะกับพระชายามากกว่าไหม"

ปากไม่ตรงกับใจ ต่อให้พระชายาจะกำเริบเสิบสานขนาดไหน ก็เป็นท่านเองที่ตามใจไม่ใช่รึ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดนั้นยิ่งรู้สึกดูถูกนายของตนเองขึ้นมา

เหลิ่งชิงหลางนั้นเสียเปรียบที่มู่หรงฉีมา เมื่อกลับมาถึงที่เรือนจื่อเถิงก็รู้สึกท้อแท้ใจขึ้นมาทันที ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นแล้วรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วร่างกาย

นางพยายามทุกวิถีทาง พูดให้เหลิ่งชิงฮวนนั้นด้อยค่า สำส่อน ใจร้ายอำมหิต ยัดเหยียดข้อเสียที่ร้ายแรงทั้งหมดของการเป็นผู้หญิงคนหนึ่งนั้นให้นางจนหมด แต่มู่หรงฉีก็ไม่สนใจเลย แถมยังมอบอำนาจการดูแลจวนท่านอ๋องให้นางทั้งหมดอีก!

งั้นตนเองจะยังมีความหวังอะไรอีก ยังจะหวังให้เขากลับใจหย่ากับเหลิ่งชิงฮวนแล้วมาอยู่ในอ้อมอกของตนรึ

ตอนนี้เหลิ่งชิงฮวนมีไทเฮาและจวนกั๋วกงคอยหนุนหลังให้ สนิทสนมกับเสิ่นหลินเฟิงและฉีจิ่นอวิ๋น จวนมหาเสนาบดีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนตนเองนั้นมีอะไร จวนรองเสนาบดีอาศัยองค์หญิงหรูอี้ได้พระราชโอรสองค์โตมา ใครจะมาสนใจความสัมพันธ์หลานสาวอย่างนางอีก ตอนนี้ตอนเองนั้นไม่มีใครที่ให้พึ่งอาศัยได้ ไม่มีใครให้พักพิง ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

แค่เวลาสั้นๆ เพียงสามเดือนเท่านั้น ทำไมมันถึงได้กลับตาลปัตรไปแบบนี้

นางนอนร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนเตียง ไม่ได้กินอะไรทั้งวันเลย จนถึงวันที่สองนางถึงจะลุกขึ้น นางใช้น้ำแข็งประคบตาที่บวมแดงของนาง จากนั้นก็ทาแป้งแล้วสั่งกับแม่จ้าวว่า "ตอนที่พี่รองของข้าเอายาเม็ดหนิงเซียงมา ตอนนั้นกำลังขัดสนจึงไม่ได้ทำให้เบี้ยเงิน เจ้าส่งคนไปส่งสารให้พี่รองว่าให้ท่านส่งคนมาเอาเบี้ยเงินด้วย"

แม่จ้าวขยับปากเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด รับคำสั่งแล้วก็เดินจากไป

ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ฟางผินจือได้รับข่าวจึงเพิ่งมาถึง ปัจจุบันนี้เขานั้นเป็นแขกประจำไปแล้ว เหลิ่งชิงหลาง เคยกำชับกับทางเข้าออกว่าหากเขามาก็ให้ปล่อยผ่านได้เลย

แม่จ้าวทำปากไปทางห้องหลัก "ฮูหยินของข้ากำลังรออยู่"

ฟางผินจือถือตะกร้าแล้วเดินเข้าห้องไป จากนั้นประตูห้องก็ปิดลง

แม่จ้าวส่ายหัวยังรู้สึกกังวล นางถอนหายใจ จากนั้นก็ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วมานั่งอยู่ที่ลาน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา