ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 37

จินเอ้อร์เบลอจนเห็นดาวล้อมอยู่บนหัว ยกมือขึ้นลูบเลือดเหนียวข้น กระวนกระวายขึ้นทันที “พวกโง่ยืนบื้ออยู่ทำไม? จัดการสิ!”

เหล่าพวกคุณชายที่อยู่ด้านข้างก็ไม่รู้ว่าไปรวบรวมความกล้ามาจากไหน รุมล้อมเหลิ่งชิงฮวน ถลกพับแขนเสื้อขึ้น

หลายวันมานี้เหลิ่งชิงฮวนอัดอั้นไฟแห่งความโกรธไว้ กำลังกลุ้มใจไม่รู้จะไประบายที่ไหนดี จับไหล่คนแรกที่อยากจะตายพาดไหล่ทุ่มลง หลังจากนั้นจับที่ข้อมือคนที่สอง ออกแรงที่มือหักข้อมือของเขาทิ้ง

พวกนายท่านกลุ่มหนึ่งไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น กระโจนประดังเข้าใส่ โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด บรรดาพี่น้องที่จ้างมานั้นต่างก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ในโรงน้ำชานั้นก็ครึกครื้นขึ้นมา

เหลิ่งชิงฮวนประเมินกำลังตัวเองสูงเกินไป หลังจากที่ชกต่อยไปนั้น ค่อยๆประคับประคองตัวไม่ค่อยอยู่ วีรบุรุษไม่กินการสูญเสียที่เกิดขึ้นทันที เธอก็มีความคิดตัดสินใจที่จะใช้ยาแรงกับพวกคุณชายใจกล้ากลุ่มนี้ รับรองว่าพวกเขาจะต้องร้องไห้หาพ่อหาแม่ คุกเข่าเรียกหาบรรพบุรษ

เธอแกล้งทำเป็นจนตรอกเตรียมที่จะหนี ในมือนั้นเตรียมของไว้เรียบร้อยแล้ว ใช้หางตาจ้องมองข้างหลัง รอให้พวกนั้นวิ่งตามมา แล้วจู่โจมพวกนั้นตอนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

คนกลุ่มนี้ยังคงตามตื้อไม่เลิก โวยวายเอ็ดตะโร เหมือนกับหมาป่าผู้หิวโหย

เหลิ่งชิงฮวนนับอยู่ในใจ “หนึ่ง สอง สาม!”

ยังไม่ทันที่จะได้ลงมือ ทันใดนั้นผู้ชายสองคนที่อยู่แถวหน้ากระโจนใส่เหลิ่งชิงฮวนก็ร้องโหยหวน กอดขาล้มลงกับพื้น ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

ทุกคนต่างพากันตกตะลึง หลังจากนั้นก็ทำเหมือนกับว่าเห็นผี เข่าอ่อน คุกเข่าก้มหัวลง

เหลิ่งชิงฮวนจ้องดูอย่างละเอียด ก็เห็นว่าที่มีตะเกียบไม้ไผ่เสียบอยู่ที่ขาของสองคนนั้น ยาวประมาณสามนิ้ว เลือดไหลไม่หยุด

นี่คือวีรบุรุษมาช่วยเหลือสาวงามงั้นเหรอ? เพียงแค่เด็ดใบไม้ก็ทำร้ายคนได้ วิชากังฟูร้ายกาจมาก

เธอหันหน้ากลับไป ก็เห็นที่ประตูทางเข้าโรงน้ำชา มีเงาร่างคนคล้ายกับเทพนักฆ่าที่ร่วงหล่นมาจากฟ้า รูปงามสูงใหญ่ ดุดันน่าเกรงขาม ก็คือมู่หรงฉีนั่นเอง

เหลิ่งชิงฮวนตกใจ เขามาที่นี่ได้ยังไงกัน?

ในมือมู่หรงฉีนั้นถือกล่องไม้แกะสลัก เดินก้าวตรงเข้ามาในโรงน้ำชาทีละก้าว แต่เดินอย่างเอ้อระเหยสงบนิ่ง ราวกับนำกำลังพลทหารนับพัน ทะยานออกมาอย่างยิ่งใหญ่

พวกคุณชายทั้งหลายต่างตกใจจนหน้าซีด โขกศรีษะราวกับโขลกกระเทียม “ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”

“แม้แต่พระชายาของข้าก็ยังกล้าจาบจ้วง พวกเจ้าไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเลยสินะ? แล้วทำไมต้องอภัยโทษให้พวกเจ้าด้วย?”

“พวก พวกข้า...จินเอ้อร์บังคับให้พวกข้าทำพะยะค่ะ”

คุณชายท่านแรกขายจินเอ๋อร์อย่างไร้ความภักดี พวกคนอื่นต่างพากันคล้อยตาม “ใช่พะยะค่ะ จินเอ้อร์จุดธูปหอมในห้อง พวกเราสติหลุดลอยไปชั่วครู่หนึ่ง เลยล่วงเกินพระชายาไป วิงวอนท่านฉีอ๋องโปรดไว้ชีวิตด้วยเถอะ”

เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกว่าเมื่อสักครู่นี้พวกเขานั้นดูเหมือนไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังรนหาที่ตายอีก ช่างกล้ายิ่งนัก ที่พูดมานั้นดูท่าจะเป็นจริง หากโดนพิษจริงละก็ อย่าว่าแต่ตัวเองที่เป็นพระชายาฉีเลย ต่อให้เป็นพระนางหวางหมู่ เจ้าคนพวกนี้ตอนที่ไม่มีสติสัมปัชชัญญะก็ยังจะกล้าลวนลามอีก

มองไปที่มู่หรงฉีอีกครั้ง ชายหนุ่มร่างบาง จ้องมองพวกคุณชายที่ถูกขู่จนกลัวหัวหดอย่างเย็นชา ริมฝีปากบางสะกดกั้นอารมณ์โกรธเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด ด้วยความเย่อหยิ่งและอำนาจบารมีนั้น ดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

ไม่กลัวสินค้าไม่เป็นที่รู้จัก กลัวแต่สินค้าจะถูกนำมาเทียบกันเอง เมื่อเทียบกับพวกคุณชายทีี่สำมะเลเทเมา มั่วสุรานารี สุภาพบุรุษบริสุทธิ์กว่าแน่นอน!

เหลิ่งชิงฮวนโตเป็นสาวขนาดนี้ ยังไม่เคยถูกชายหนุ่มคนไหนปกป้องอย่างกล้าหาญเท่านี้ เรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเอง ในขณะนั้นเองก็เกิดระลอกคลื่นซัดไหวภายในใจ เกิดเป็นความรู้สึกดีๆของผู้หญิงตัวเล็กๆ

จริงๆแล้ว สำหรับมู่หรงฉีเติบโตรูปงามใช้ชีวิตแบบกลับหัวกลับหาง อีกทั้งมีลำดับศักดิ์เป็นทายาทรุ่นที่สองของจักรพรรดิ มีฝีมือเชี่ยวชาญด้านการศึก เป็นต้นแบบอปป้าที่พวกสาวนับร้อยนับพันนิยมเสียจริง แต่น่าเสียดายที่สายตาแย่ไปหน่อย อารมณ์ร้อนไปนิด ไม่เช่นนั้น ก็เป็นสามีที่สามารถฝากฝังชีวิตไว้ด้วยได้จริงๆ

มู่หรงฉีไม่ได้มีอารมณ์มาสนใจคนบ้าผู้ชายอย่างเหลิ่งชิงฮวน “ราชสำนักได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ให้ลูกหลานตระกูลขุนนางเที่ยวโสเภณี ทั้งทีพวกเจ้าก็รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังจงใจฝ่าฝืน ละเลยต่อข้อบังคับ โทษถึงตายนั้นลดหย่อนลงได้ แต่ยังไงก็ต้องได้รับโทษ วันพรุ่งไปรายงานกับรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ค่ายพยัคฆ์สิงห์ ส่วนจะออกมาได้หรือไม่นั้น คงอยู่ที่โชคของพวกเจ้าแล้วล่ะ”

หลายคนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่มีเลือดไหลเวียนเลยสักนิดเดียว แต่ไม่มีใครกล้าขอให้มู่หรงฉียกโทษให้ รวมทั้งจินเอ้อร์ ยังมีพวกท่าทางอ้อนแอ้น ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม วิ่งหนีซึมเป็นหมาหงอยเลย

ถึงแม้ว่าเหล่ิงชิงฮวนจะไม่รู้ว่า ที่เขาเรียกกันว่าค่ายพยัคฆ์สิงห์นั้นจะน่าหวาดกลัวสักแค่ไหน แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหลายคน กลัวเหมือนทุกคนจะโดนไม้โบยคนละหลายสิบที ไม่จำเป็นต้องกลัวขนาดนี้เลย

ในโรงน้ำชาก็เงียบสงบลงทันที เสี่ยวเอ้อร์แอบหลบซ่อนอยู่ไกลๆ ไม่กล้าเดินเข้าไปมา

มู่หรงฉีหันหน้ามามองเหลิ่งชิงฮวน “เจ้ามาทำอะไรที่โรงน้ำชานี้คนเดียว?”

มู่หรงฉียืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ ก็ได้กลิ่นหอมหวานนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที สายตามองไปที่เหลิ่งชิงฮวนอย่างเยือกเย็น เหมือนกับวันแต่งงานวันแรก เหมือนตอนที่ได้ยินว่านางนั้นตั้งครรภ์

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้อยู่แล้วนะว่ากลิ่นนี้คือกลิ่นของอะไร?”

เหลิ่งชิงฮวนละอายปากท่ีจะพูด ว่ากลิ่นหอมนี้ไม่ใช่ธูปหอมธรรมดา แต่เป็นกลิ่นที่เร่งกระตุ้น“ความต้องการทางเพศ” อีกท้ัง ที่เธอสามารถจำแนกออกได้ในทันที ก็เป็นเพราะกลิ่นนี้กับวันนั้นที่อยู่สำนักแม่ชี กลิ่นเผาไหม้ไม้จันทน์นั้นเป็นกลิ่นเดียวกัน

ที่แท้ ของที่ตอนแรกจินซื่อกับเหลิ่งชิงหลางไว้ทำร้ายคนก็จะหามาจากจินเอ้อร์นี่เอง จินเอ้อร์กับพวกกลุ่มคุณชายเสเพลเคยชินกับการใช้วิธีต่ำช้าประเภทนี้เพิ่มความสนุกสนาน มิน่าล่ะถึงได้หื่นตัณหาเช่นนั้น

เรื่องพวกนี้ เธอไม่สามารถพูดมันออกมาได้

มู่หรงฉีกลับไม่ยอมรามือ เดินเขยิบเข้าไปใกล้เธอทีละก้าว ท่าทีโกรธจนทำให้คนหวาดกลัว “ข้าลืมไป ว่าเจ้าเป็นหมอ เชี่ยวชาญในเรื่องการวางยาพิษ จะไม่รู้เรื่องกลิ่นเร้นลับนี้ได้อย่างไรกัน?”

เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เขาโกรธแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในเมื่อเรื่องนี้ได้อธิบายพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว ทำไมเขาถึงยังคุกคามคนเหมือนหมาบ้าอยู่ล่ะ?

“หม่อมฉันรู้แล้วจะทำไม ท่านอ๋องกระแทกกระทั้นส่อเสียดเยี่ยงนี้ ทำเหมือนกับหม่อมฉันทำเรื่องผิดบาปมหันต์อย่างนั้นแหละ”

“มีหรือไม่เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจ!” ทั้งริมฝีปาก ปีกจมูกมู่หรงฉีต่างก็ขยับ ลมหายใจเต็มไปด้วยไฟร้อนแห่งความโกรธ “เดิมที ข้าก็แค่คิดว่าเจ้านั้นโอหังนิดหน่อย แต่ไม่คิดเลยว่า เจ้านั้นจะใจดำและไม่มีศีลธรรมเยี่ยงนี้”

“ท่านโดนหมาบ้ากัดมา หรือกินยาผิดสำแดงกันแน่? หม่อมฉันทำอะไรเพคะ?”

มู่หรงฉีจับที่ข้อมือของเธอ พละกำลังแรงมากเกือบอยากที่จะหักมัน “เจ้ากล้าทำแต่ไม่กล้ารับงั้นเหรอ?อย่างน้อยเหลิ่งชิงหลางก็เป็นน้องสาวของเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมนี้จัดการกับนาง บนโลกนี้มีหญิงโหดเหี้ยมเยี่ยงเจ้าได้เช่นไร?”

เหลิ่งชิงหลางเจ็บจนเหงื่อท่วมหัว ยกเท้าถีบมู่หรงฉีอย่างแรงโดยไม่ลังเล มู่หรงฉีไม่หลบหลีก ตั้งรับอย่างมั่นคงเหมือนกับก้อนหิน เท้าของเขาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย เพียงแค่ขมวดคิ้วแน่นอย่างเจ็บปวด

“ท่านจะพูดอะไรก็พูดให้มันชัดเจน หม่อมฉันไปทำร้ายเหลิ่งชิงหลางตอนไหนเพคะ? ท่านไปรบจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง สงบสุขได้เพียงไม่นานก็คันมือ ไม่มีเรื่องก็เลยหาเรื่องทะเลาะเหรอเพคะ? มีปัญญาก็ไปทำกับคนอื่นซะ ทำไมต้องพุ่งเป้ามาที่หม่อมฉันด้วย? ชาติที่แล้วหม่อมฉันไปขุดหลุมศพท่านหรือไปโบยศพท่านหรือไงกัน? ถึงได้โชคร้ายมาต้องมาเจอกับท่าน!

อย่าบีบบังคับให้หม่อมฉันฆ่าท่านเลย พานจินเหลียนโง่ขนาดสามารถวางยาอู๋ต้าหลางได้ หม่อมฉันก็สามารถเอาชีวิตท่านไปได้ในชั่วพริบตาเหมือนกัน เมื่อตะกี้สมองข้าไม่ค่อยดี มัวแต่ยุ่งเรื่องช่วยเหลือท่าน รู้งี้ให้กินน้ำแกงมูลสัตว์เสียก็ดี ถูกวางยาพิษตายไปเลยก็ดี หม่อมฉันจะอยู่เป็นม่ายสาว อย่างน้อยก็สามารถสืบทอดมรดาจวนฉีอ๋องได้!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา