ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 388

เมื่อขึ้นรถม้า เหลิ่งชิงฮวนก็สั่งกับคนขับรถม้า “ออกจากวัง ไปสนามล่าสัตว์”

สนามล่าสัตว์อยู่ห่างออกไปค่อนข้างไกล ร่างกายของเธอไม่สามารถกระเทือนได้ คนขับรถม้ามองดูท้องฟ้า “ข้าน้อยคิดว่า พอพวกเราไปถึง พวกนายท่านก็จะเดินทางกลับแล้วนะขอรับ”

“งั้นก็ไป” เหลิ่งชิงฮวนมุ่งมั่นเด็ดขาด

คนขับรถม้าไม่พูดอะไรอีก รีบขับรถม้าออกนอกเมืองไป

เมื่อไปถึงสนามล่าสัตว์ ก็เป็นช่วงตอนบ่ายแล้ว

จริงๆด้วย เกิดเรื่องแล้ว เป็นอย่างที่เหลิ่งชิงฮวนคาดการณ์ไว้เลย

ตอนเช้าก็ยังดีอยู่ ทุกคนสนุกสนาน ควบม้า พูดคุยหัวเราะสนุกสนาน

ตอนกลางวันก็ตั้งหม้อที่สนามล่าสัตว์ สั่งให้คนเอาสัตว์ที่ล่าได้นั้นไปทำความสะอาด โยนลงไปต้มในหม้อ นั่งล้อมวง กินเนื้อและดื่มเหล้า พูดคุยเฮฮาอย่างมีความสุข

ดื่ืมเหล้าเสร็จ อารมณ์เริ่มเมากรึ่มๆ มีคนเมาหนักขึ้นหลังม้ายิงธนู ต้องการที่จะหลั่งเลือดความอัปยศในตอนเช้า

และก็มีบางคนที่เมา นอนงีบหลับอยู่ในกระโจม กระจายกันเป็นกระจุกๆ ต่างก็แยกย้ายกันไป

องค์ชายอันต๋าดื่มเหล้าจนเต็มท้อง ฤทธิ์เหล้าเริ่มประทุ ยิ่งหลังจากที่วีรบุรุษเมา ก็เดินโซซัดโซเซขึ้นหลังม้า มู่หรงฉีมีหน้าที่รับผิดชอบคุ้มกันความปลอดภัยของเขา เวลานี้เป็นเหมือนเงาตามตัว

เพียงชั่วพริบตา องค์ชายอันต๋าก็พบว่า คู่หมั้นของตัวเองนั้นไม่อยู่แล้ว เมื่อสอบถามพวกทหาร มีคนเห็นนางเข้าไปที่ค่ายพยัคฆ์สิงห์

ค่ายพยัคฆ์สิงห์เป็นสถานที่ที่ดี เดิมทีในค่ายทหารใช้เป็นสถานที่ฝึกทหารนักรบกองกำลังแนวหน้า

พูดให้เข้าใจ ก็คือในป่านี้เลี้ยงสัตว์ดุร้ายไว้ โยนทหารเข้าไปในป่าปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ปลูกฝังความระแวดระวังของพวกเขา ทักษะ ความสามารถในการทํางานเป็นทีม ใช้ขีดความสามารถสูงสุดของความเป็นความตาย ขุดค้นสัญชาตญาณที่แฝงอยู่ในตัว สุดท้ายคนที่อยู่รอดได้ก็คือผู้ชนะ

ต่อมาผู้เฒ่าอาวุโสกั๋วกงรู้สึกว่าวิธีการนั้นโหดร้ายเกิน จึงล้มเลิกไป

ค่ายพยัคฆ์สิงห์นั้นอยู่ติดกับลานล่าสัตว์ของวังหลวง ทั้งสามด้านล้อมรอบด้วยภูเขาต้นไม้ ด้านที่อยู่ใกล้กับลานล่าสัตว์นั้นมีรั้วอยู่ ด้านนี้กระต่าย กวางป่า และสัตว์ตัวเล็กๆสามารถรอดผ่านรั้วไปได้ แต่พวกสัตว์ดุร้ายตัวใหญ่ไม่สามารถข้ามได้ อยู่ด้วยความสงบและไม่มีเหตุทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน

แต่สำหรับองคหญิงจิ่นอวี๋ที่จงใจที่จะรนหาที่ตาย รู้ทั้งรู้ว่าบนเขามีเสือร้าย แต่ยังฮึกเหิมจะเดินขึ้นเขา เข้าไปในค่ายพยัคฆ์สิงห์คนเดียว

แม้ว่าองค์ชานอันต๋ารูปร่างเล็กแข็งแรงปราดเปรียว แต่ก็เป็นวีรบุรุษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ดื่มเหล้าหนึ่งไหเข้าไปคนเดียว ทันทีที่เขาได้ยินว่าคู่หมั้นของตัวเองตกอยู่ในอันตราย ไม่พูดพร่ำทำเพลง ทิ้งม้าแล้ววิ่งไปช่วยสาวงามอย่างวีรบุรุษ

มู่หรงฉีรู้พฤติกรรมขององค์หญิงจิ่นอวี๋ ในค่ายพยัคฆ์สิงห์นั้นมีอันตรายเป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่รู้ กลับจงใจที่จะเข้าไปรนหาที่ตาย ใครจะรู้ได้ว่าคิดที่จะทำอะไรอยู่กันแน่

เขาขวางองค์ชายอันต๋าไว้ “ด้านในสัตว์ป่าดุร้าย รอให้พวกทหารมาก่อนดีกว่า คนมากมายเข้าไปด้วยกันจะปลอดภัยกว่า”

“ก็ปลอดภัยอยู่ แต่องค์หญิงจิ่นอวี๋มีอันตราย!”

เหล้านั้นเป็นสาเหตุทำให้คนกล้าหาญ นับประสาอะไรกับองค์ชายอันต๋าที่รู้สึกว่าตัวเองมีฝีมือห้าวหาญ? ไม่พูดพร่ำเพรื่อ ไม่สนใจการขัดขวางของมู่หรงฉี ก็เข้าไปข้างใน

มู่หรงฉีสามารถไม่สนใจจิ่นอวี๋ได้ แต่เขาไม่สามารถนิ่งดูดายได้ ปล่อยให้องค์ชายอันต๋าเข้าปากเสือได้หรอกนะ? เพราะงั้นจึงทำได้เพียงสั่งทหารให้รีบไปแจ้งให้เซวียนอ๋องทราย จากนั้นตนเองก็รีบตามเข้าไป

ที่แท้ต้นสายปลายเหตุก็เป็นเช่นนี้เอง เมื่อเหล่าทหารกลับจากรายงานอ๋องเซวียน ทุกคนต่างรีบมาตามหาคนอย่างกองทัพยิ่งใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าทั้งสามคนนั้นไปถึงไหนแล้ว

เหลิ่งชิงฮวนรีบไปที่สนามล่าสัตว์ แต่ก็ไม่เจอใคร

ความสนใจในการล่าสัตว์ของทุกคนถูกปนเปกันอย่างนี้ จิ่นอวี๋สมควรที่จะได้รับฉายาว่าตัวป่วน ไปที่ไหน ก็มีแต่ความวุ่นวาย

นางถูกเสือกินก็ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่เปลี่ยนคนที่จะไปแต่งงานกับองค์ชายแห่งมั่วเป่ย แต่ถ้าหากมีภัยร้ายเกิดขึ้นกับองค์ชายอันต๋า ใครจะรับผิดชอบไหวกันล่ะ?

เหลิ่งชิงฮวนไม่สนใจคำห้ามปราม ไม่ลังเลที่จะพาคนบุกเข้าไปในค่ายพยัคฆ์สิงห์ ไม่ใช่เธอที่มุทะลุ รู้ว่าข้างหน้ามีอันตรายแต่ก็ยังจะเข้าไป แต่คนที่เข้าร่วมการล่าสัตว์ในวันนี้ ไม่มีใครอยากให้มู่หรงฉีออกมาอย่างปลอดภัย!

พี่น้องครอบครัวตระกูลอื่นนั้นต่างรักใคร่ปรองดองกันดี ส่วนราชวงศ์นะเหรอ? เธอไม่ใช่ใช้น้ำใจคนต่ำมาประเมิน ส่วนมากก็คือตายไปก็น้อยลงไปอีกหนึ่ง ทางที่ดีก็คือเหลือตัวเองไว้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา