เหลิ่งชิงหลางกัดริมฝีปากล่างของตนเองพลางกล่าวอย่างเจ็บปวด "ดอกจื่อเถิงแม้นจะสวยงามแต่ก็มักจะมีความใจแคบอยู่เสมอ ถูกวางไว้บนโต๊ะแล้วจะงดงามเจริญตาเฉกเช่นดอกโบตั๋นที่ปลูกในลานกว้างได้เยี่ยงไร? หม่อมฉันเป็นเพียงลูกอนุ ย่อมจะเป็นเพียงดอกจื่อเถิงที่ไม่สะดุดตาก็เท่านั้น"
มือของมู่หรงฉีแข็งทื่อ " เจ้าชอบดอกโบตั๋นหรือ?"
เหลิงชิงหลางก้มหัวลง และใช้คางเกยไปที่อก "ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล หม่อมฉันเพียงหวนคำนึงถึงชีวิตที่ผ่านมา"
มู่หรงฉีพลันนึกขึ้นได้ว่า สองวันก่อนได้ยินคนรับใช้ในจวนพูดถึงเรื่องที่จินซื่อพูดใส่ร้ายเหลิ่งชิงฮวนอย่างรุนแรง ในใจก็รู้สึกหนักหน่วง จนปล่อยมือนางไป
"ตาของเจ้าเป็นรองเสนาบดีกรมข้าราชการพลเรือนผู้ทรงเกียรติ พ่อของเจ้าก็เป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวาที่อยู่ใต้คนๆ เดียว มีสิ่งใดให้ต้องหดหู่ใจด้วยเล่า? สูงส่งยิ่งกว่าสาวบ้านนอกนั่นเสียอีก"
"แล้วมันจะอย่างไร ในเมื่อหม่อมฉันหาได้เก่งกาจเท่าท่านพี่ไม่ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ท่านอ๋องก็เห็นประจักษ์ด้วยตาตนเองแล้ว ท่านพี่เก่งเรื่องเอาชนะใจคน และฉวยโอกาสหาเรื่องยุ่งยากให้หม่อมฉัน หากไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าแขกเหรื่อจำนวนมาก ต้องรักษาชื่อเสียง วันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนมาบังคับหม่อมฉันอีก"
มู่หรงฉีไม่ออกความคิดเห็น เพียงแต่กล่าวปลอบโยน "วันนี้ทำให้เจ้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียแล้ว"
"ใครใช้ให้ท่านพี่อ่อนหวานและเชื่อฟัง จนทำให้เหล่าไท่จวินเอ็นดูกันเล่า ถึงหม่อมฉันจะคับข้องใจแต่ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน" เหลิ่งชิงหลางเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลรินลงมา "ในวันนั้นที่แต่งงาน น้ำเสียงที่เหล่าไท่จวินใช้พูดกับอนุนั้นแตกต่างมาก เหลิ่งชิงหลางก็เข้าใจ บัดนี้มาที่จวนอ๋องแล้ว หม่อมฉันยังต้องเอาใจ ข่มความโกรธเอาไว้อีก"
มู่หรงฉีเงียบไป รู้สึกหมดความอดทนกับการตัดพ้อไม่จบสิ้นของเหลิ่งชิงหลาง "ตราบใดที่ข้าโปรดปรานเจ้านั้นก็เพียงพอแล้ว"
เหลิ่งชิงหลางนั่งลงที่ข้างๆ เขา และรินชาให้หนึ่งจอก พลางใช้ปลายนิ้วเรียวๆ หยิบยื่นใส่มือเขา
"เป็นเพราะชิงหลางละโมภเกินไป เพียงแต่วันนี้ที่จวนท่านเคานต์ นึกไม่ถึงเลยว่าท่านพี่จะมาทั้งๆ ที่ไม่ได้รับเชิญ เลยดูเหมือนว่าหม่อมฉันอึดอัดเล็กน้อย เป็นที่ขบขันกันของแขกเหรื่อจำนวนมาก จึงอยู่ไม่เป็นสุขอยู่ครู่หนึ่ง จนอยากจะให้มีรอยแยกที่พื้น เพื่อที่หม่อมฉันจะได้มุดไปแอบอยู่ข้างในได้"
"ต้องโทษที่ข้าไม่คิดให้รอบคอบพอ"
เหลิ่งชิงหลางมองดูใบหน้าเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเขาไม่เข้าใจเจตนาของตนเอง จึงใคร่ครวญและเปลี่ยนวิธีพูด "เป็นหม่อมฉันเองที่ไม่ประมาณตน โอกาสเช่นนี้เดิมก็ควรจะเป็นท่านพี่ที่ควรไปอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่นางเป็นถึงพระชายาเอกของท่าน หม่อมฉันไม่ได้สำคัญอะไร เทียบกับเด็กสาวทั่วไปยังไม่ได้เลยเพคะ"
สีหน้าของมู่หรงฉีอึมครึมลงทันที เขาเม้มริมฝีปากเพื่อระงับความโกรธ
"จะเอ่ยถึงนางเพื่ออะไร? ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ นางจะไปเป็นแขกที่จวนท่านเคานต์? ต่อไปงานแบบนี้หากเจ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป"
"ไม่ใช่นะเพคะ"เหลิ่งชิงหลางรีบอธิบาย แต่ก็ไม่อาจเผยความปรารถนาอันแรงกล้าให้เห็นได้ชัดจนเกินไป "หม่อมฉันเพียงต้องการแบ่งเบาความกังวลของท่าน ท่านอ๋องมีกิจทางทหารรัดตัว เรื่องเล็กน้อยในจวนเหล่านี้หากท่านไม่มีเวลาจัดการละก็ เพียงแค่มอบหมายให้หม่อมฉันจัดการให้ก็ได้แล้วนี่เพคะ"
นัยน์ตาดั่งหงส์ที่แหลมคมและลึกล้ำของมู่หรงฉีเป็นประกาย "ดูแลเรื่องในจวนไว้ใจนางได้ อีกทั้งยังชำนาญในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ให้นางจัดการก็พอแล้วเจ้าเพียงอยู่อย่างสงบไปสบายๆ ก็พอแล้ว"
เหลิ่งชิงหลางพูดเป็นนัยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อต้องการคำรับรองจากมู่หรงฉีให้นางมีอำนาจควบคุมดูแลจวน นึกไม่ถึงเลยว่ามู่หรงฉีจะไม่เข้าใจอะไรเลย อีกทั้งพอมองดูสีหน้าของเขาก็ไม่ได้ดูลึกซึ้งเฉกเช่นที่มองตนเองเมื่อสักครู่นี้ นัยน์ตายังแฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย ราวกับรู้ทัน ทั้งยังเปลี่ยนประเด็นอย่างชาญฉลาดอีกด้วย
"ความจริงมีอยู่คำพูดหนึ่ง หม่อมฉันอยากจะระบายออกมาจริงๆ ท่านพี่ไม่เคยเล่าเรียนการแพทย์แต่อย่างใด แล้วความสามารถในการถอนพิษวันนี้มาจากที่ไหนกัน อีกทั้งยังเก่งกาจมาก เป็นไปได้ไหมว่าจะมีการเตรียมยาถอนพิษไว้ในกล่องอาหารนั่นล่วงหน้าแล้ว?"
เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่มู่หรงฉีหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน "นางบอกว่ามีทักษะนี้ตั้งแต่ยังเด็ก เกรงว่าจะเก็บซ่อนไว้ที่จวนมหาเสนาบดีไม่เผยออกมาเสียมากกว่า"
"นางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องยาสมุนไพร อีกทั้ง หากว่านางมีความสามารถในการชุบชีวิตคนตายจริงๆ แล้วละก็ แม่และพี่ชายของนางที่ป่วยหนัก นางจะจนปัญญาได้อย่างไร?"เหลิงชิงหลางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ใจของมู่หรงฉีเต้นแรงเมื่อนึกถึงเรื่องที่สงสัยนางในวันนี้ เขาจึงขมวดคิ้ว "เจ้ามั่นใจว่าเดิมนางไม่รู้ทักษะทางการแพทย์เลยอย่างนั้นหรือ?"
"หากท่านอ๋องมิเชื่อ ก็สามารถถามไถ่แม่หวังที่คอยอยู่รับใช้ข้างกายนางได้เลย
มู่หรงฉีกล่าวอย่าวใจเย็นว่า "อืม"แค่คำเดียว และยกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอกในคราเดียวอย่างหัวเสีย
เหลิ่งชิงหลางลังเลที่จะพยายามต่ออยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าขึ้นมาอีกครั้ง "หม่อมฉันคิดว่าท่านพี่จะต้องใช้มนต์ดำอย่างแน่นอน ทั้งยังทำให้จิตใจคนนั้นสับสนได้ ไม่อย่างนั้นเหล่าไท่จวินจะถูกนางล่อลวงจนเข้าข้างนางได้เยี่ยงไร เพื่อเห็นแก่พลานามัยของเหล่าไท่จวิน ท่านอ๋องควรตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อจะได้ไม่ต้องนึกเสียใจในภายหลัง"
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องหย่าร้าง มู่หรงฉีก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง "เรื่องนี้ข้ามีแผน เรื่องวิญญาณผีสางอะไรพวกนี้ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา
แอดขาาาาาา หนีเที่ยวพอหรือยัง มาต่อให้จบบบบบบ...
แอดขาาาาาา 794 และ 797 ตกหล่นหายไปคะแอด ช่วยเก็บมาหน่อยคะ คิคถึงงงงงงงงงง...
แอดขาาาาาา ตอน794และ797 หายไปคะ แอดทำตกหล่นช่วยเก็บกลับมาหน่อยคะ...
อยากทราบว่ามีทั้งหมดกี่ตอนคะ....
หยุดนานแล้วนะคะ ผู้เขียน มีอัพเดทต่อไหมคะ...
ขอบคุณทุกๆๆคนนะคะที่มาบอก แต่พอให้เตรียมทิชชู่นี่ปวดตับ ปวดใจก่อนล่ะ...
อยากรู้จังว่าพระเอกรู้ความจริงว่าผู้หญิงในคืนนั้นเป็นนางเอกตอนไหนคะ ใครอ่านแล้วบอกหน่อยค่ะรบกวนสปอยหน่อยยย...
ขอบคุณนะคะที่หานิยายสนุกๆๆมาให้อ่าน จะรออ่านทุกวันค่ะ...
ขอบคุณมากๆค่ะที่อัพเดทต่อจะตั้งใจอ่านต่อไป...ตอนเรียนยังไม่ตั้งใจขนาดนี้🤗😘😄😅😊...
อย่าเท..กลางทาง..นะแอดนะ😁😁😁...