ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 43

วันนี้มู่หรงฉีไม่คิดจะออกไปไหนเหลิ่งชิงหลางจึงอารมณ์ดี นางสั่งให้คนยกสำรับขึ้นมาและให้เขาอยู่กินข้าวที่เรือนจื่อเถิง

จือชิวที่สวมชุดผ้ามีสีสันราวกับผีเสื้อเดินเข้าๆ ออกๆ จู่ๆ ก็รู้สึกวูบวาบในใจ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนศีรษะ ตัวสั่นหายใจหอบก่อนจะเป็นลมล้มลงไปกับพื้น

เหลิ่งชิงหลางตกใจรีบลุกขึ้นไปดู “เป็นอะไรไป”

หญิงชราในจวนรีบเข้ามาจับหน้าอกและกดบริเวณเหนือริมฝีปากแต่จือชิวก็ไม่ตอบสนอง นางรีบสั่งให้คนไปตามหมอ หลังจากตรวจสอบดูสักพักก็ได้ข้อสรุป “ดูเหมือนจะเป็นอาการหัวใจขาดเลือดหล่อเลี้ยง สมองขาดอากาศ เลือดลมไม่ไหลเวียนจนทำให้เป็นลม”

เมื่อฝังเข็มเงินลงไปที่จุดเหนือริมฝีปากไม่นานจือชิวก็ค่อยๆ ได้สติ

“ตอนแรกยังดีๆ อยู่เลย ทำไมเจ้าถึงเป็นลมไปได้? ร่างกายของเจ้าก็แข็งแรงมาตลอด ไม่เคยได้ยินว่าเจ้ามีอาการป่วยอะไรเลย” เหลิ่งชิงหลางเอ่ยถาม

จือชิวยังคงมึนงง ร่างกายอ่อนแรงปวกเปียกลุกไม่ไหว “บ่าวรู้สึกใจสั่นหายใจไม่ออก ร่างกายไร้เรี่ยวแรงราวกับโดนพิษ”

“โดนพิษ?” เหลิ่งชิงหลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้ากินอะไรไป?”

จือชิวคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดอย่างหนักแน่น “มีเพียงลิ้นจี่ตะกร้าที่คุณหนูใหญ่คืนมาเท่านั้นเจ้าค่ะ ต้องเป็นลิ้นจี่ที่ผิดปกติแน่ๆ”

“ข้าและท่านอ๋องก็กินลิ้นจี่นั่นแต่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ” เหลิ่งชิงหลางเหลือบมองมู่หรงฉีเพื่อบอกใบ้บางอย่าง

“ต้องเป็นนังเด็กโตวโตวที่แอบวางยาพิษแน่ๆ! นางบอกว่าให้ข้านำกลับมาให้คุณหนู เห็นได้ชัดว่านางพุ่งเป้ามาที่คุณหนู”

มู่หรงฉีเหยียดริมฝีปากก่อนจะลุกขึ้นออกจากเรือนจื่อเถิงไปโดยไม่พูดอะไร

เหลิ่งชิงหลางไม่ลืมที่จะเติมเชื้อเพลิงลงในเปลวไฟ “พี่สาวของหม่อมฉันเก่งเรื่องการวางยาพิษ ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นอีกทั้งยังไม่มีหลักฐาน นางต้องไม่ยอมรับแน่ ท่านอ๋อง ช่างเถอะเพคะ”

มู่หรงฉีไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเดินไปไกลมากแล้ว

ตอนนั้นเป็นเวลาอาหารกลางวันพอดี เหลิ่งชิงฮวนกำลังนั่งกินข้าวกับพวกแม่นมเตียวเหมือนปกติ ทุกคนหัวเราะพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา แต่เนื่องจากอาการแพ้ท้องในช่วงสองสามวันนี้เธอจึงให้โตวโตวยกอาหารเข้ามาให้ในห้อง

มู่หรงฉีบุกเข้ามาในลานบ้านด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แม่หวังและแม่นมเตียวรีบลุกขึ้นมาทำความเคารพแต่มู่หรงฉีเตะประตูห้องเข้าไปโดยไม่สนใจ

ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำส้มสายชู เหลิ่งชิงฮวนที่กำลังมองดูอาหารบนโต๊ะอย่างเป็นกังวล เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยท่าทีหงอยเหงา

เธอเห็นว่ามู่หรงฉีไม่มีปฏิกิริยาอะไรจึงเหลือบตามองอย่างเกียจคร้าน “มีเรื่องอะไรหรือ?”

มู่หรงฉีมองดูอาหารตรงหน้าอย่างเย็นชา ดูไม่น่ากินและก็เรียบง่ายเพราะว่าฝีมือของแม่นมเตียวก็ไม่ได้ดีมากนัก ไม่แปลกใจที่สตรีผู้นี้จะดูผอมแห้งอ่อนแอ แน่นอน แค่ ‘ดูเหมือน’เท่านั้น

เขาสั่งโตวโตวเสียงเย็น “ออกไป ปิดประตู”

โตวโตวมองไปที่คุณหนูของนางอย่างกังวล ก่อนออกไปอย่างกระวนกระวายและปิดประตู แต่ก็ยังคงเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู

“เมื่อครู่จือชิวเป็นลม”

เหลิ่งชิงฮวนดูเฉยเมย “อ้อ”

มู่หรงฉีขมวดคิ้ว “หรือเจ้าไม่มีอะไรอยากจะพูดหรือ?”

เธออยากจะพูดว่า สมน้ำหน้า

“เกี่ยวอะไรกับหม่อมฉันหรือเพคะ”

มู่หรงฉีตะคอก “นางเป็นลมเพราะกินลิ้นจี่ที่นำกลับไปจากเรือนของเจ้า”

“แล้วไงเพคะ?” เหลิ่งชิงฮวนจ้องมองเขาด้วยแววตาใสซื่อไร้เดียงสา

“เจ้ารู้อยู่แก่ใจดี!”

“หม่อมฉันไม่รู้เพคะ”

“ข้าเพิ่งเตือนเจ้าเมื่อสองวันก่อนว่าอย่าพยายามคิดหาวิธีทำร้ายชิงหลาง ครั้งก่อนเจ้ายังทำร้ายนางไม่พออีกหรือ?”

เหลิ่งชิงฮวนย้อนถามอย่างสงสัย “ครั้งก่อน? หม่อมฉันทำร้ายนางตอนไหนเพคะ”

มู่หรงฉีกลืนน้ำลายก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เหลิ่งชิงฮวน เจ้าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งต่อหน้าข้า ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะเก่งสามารถวางยาพิษโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ต่อให้จับเจ้าไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้!”

“ความหมายของท่านอ๋องคือ จือชิวเป็นลมเพราะข้าวางยานางหรือเพคะ?”

“หรือไม่ใช่?”

เหลิ่งชิงฮวนหัวเราะทั้งๆ ที่โกรธ “มู่หรงฉี สมองท่านกลวงหรือ? เหลิ่งชิงหลางพูดอะไรท่านก็เชื่อไปหมด? หม่อมฉันวางยานาง? ถ้าหม่อมฉันต้องการทำร้ายนางจริงๆ นางจะยังมีชีวิตอยู่หรือ หม่อมฉันยืนอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหนก็สามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดาย แล้วหม่อมฉันจะโง่ไปวางยาในลิ้นจี่ทำไม?”

“ถ้าไม่คิดจะทำร้ายคนอื่นแล้วเมื่อสองสามวันก่อนเจ้าจะซื้อยามากมายเหล่านั้นมาทำไม? ทั้งชวนอู เฉาอูและตูมกาแดงล้วนก็เป็นสมุนไพรที่มีพิษ ไม่ใช่ว่าต้องการจะปรุงยาพิษเพื่อทำร้ายชิงหลางหรอกหรือ?”

เหลิ่งชิงฮวนเม้มริมฝีปากของเธอและนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นเพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คนเธอจึงพูดชื่อสมุนไพรไปมั่วๆ ไม่ได้คำนึงถึงสรรพคุณของมัน เป็นดังที่มู่หรงฉีกล่าว ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสมุนไพรที่มีพิษอ่อนๆ แต่ว่าสมุนไพรพวกนี้มีรสขม หากนำมาทำร้ายผู้คนจะไม่ดูชัดเจนเกินไปหรือ?

เธอไม่ได้อธิบายอะไร “สมุนไพรเหล่านี้หม่อมฉันเป็นคนกินเอง”

“เจ้ากินเอง? เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง?” มู่หรงฉีเดินเข้ามาใกล้เธอ “ยาที่เจ้ากินน่ะไม่เหมือนยาอื่นๆ หมอในจวนตรวจสอบแล้วว่ายาที่เจ้าฝังไว้ในบ่อ ยาที่เจ้ากินคือยาทำให้แท้ง”

เหลิ่งชิงฮวนมองเขาอย่างตะลึง “ท่านจับตาดูหม่อมฉัน?”

“ไม่ใช่จับตาดูแต่แค่ป้องกันไว้ล่วงหน้า หลังจากวันที่รู้ว่าเจ้าสามารถวางยาพิษฆ่าคนได้”

เหลิ่งชิงฮวนมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าทำไมเขาเอาแต่พูดว่าเธอทำร้ายเหลิ่งชิงหลาง เธอไม่เคยเข้าใจว่าสาเหตุของความเกลียดชังที่มู่หรงฉีมีต่อเธอคืออะไร เป็นเพราะเธอสวมเขาให้ เขาจึงมองว่าเธอน่ารังเกียจและน่าขยะแขยง?

“เพียงเพราะหม่อมฉันรู้ทักษะทางการแพทย์และเคยซื้อยามาก่อนท่านอ๋องจึงคิดว่าหม่อมฉันวางยาพิษจือชิว? ท่านอ๋องไม่เคยได้ยินเรื่องโรคลิ้นจี่หรือ? ลิ้นจี่ไม่เหมาะกับทุกคน บางคนกินตอนท้องว่างน้ำตาลในร่างกายก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้มีอาการใจสั่น วิงเวียนศีรษะ และในรายที่เป็นรุนแรงก็จะเป็นลม”

“แก้ตัว ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“ท่านอ๋องไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เพราะว่าประสบการณ์น้อย ท่านอ๋องฉี หม่อมฉันไม่สนใจตำแหน่งพระชายา ยิ่งไม่ต้องคิดว่าหม่อมฉันจะทำอะไรแบบนี้เพื่อแย่งชิงความหึงหวงของท่านจากเหลิ่งชิงหลาง แท้จริงแล้วเป็นเพราะความรักบังตาท่านหรือว่าเพราะในใจท่านหม่อมฉันมันสุดจะทน?”

“ปากว่าตาขยิบ!”

มู่หรงฉีหรี่ตาที่เฉียบคมของเขา “เจ้าเอาแต่พูดว่าเจ้าไม่สนใจแต่เจ้ากลับพยายามอย่างเต็มที่ต่อหน้าเสด็จยายเพื่อให้ท่านปกป้องเจ้า เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้อิจฉาชิงหลางแต่เจ้ามักจะตั้งแง่กับนาง ทำให้นางเสียหน้า หากเจ้าไม่อยากอยู่ในจวนอ๋องของข้าต่อแล้วเจ้าจะแอบทำแท้งทำไม?”

“ระหว่างพวกเจ้านั้นรักแข็งแกร่งยิ่งกว่าเงินทองไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมเจ้าถึงยอมตายมากกว่าจะแต่งงานกับข้า ทำไมหลังจากที่กลับมาจากโรงน้ำชาเจ้าถึงยอมที่จะฆ่าลูกของเจ้าได้ อย่าพูดว่าเพราะข้าทอดทิ้งเจ้า ไม่รับผิดชอบ ดังนั้นเจ้าจึงคิดต่อต้านข้าต่อหน้าผู้คน ฆ่าลูกของเจ้าเพราะความโกรธแล้วลอยหน้าลอยตาอยู่ในจวนของข้า”

เหลิ่งชิงฮวนยอมรับว่าความคิดของบุรุษที่อยู่ข้างหน้านั้นไม่ธรรมดา และเขาเชื่อมั่นเสมอว่าเธอมีเจตนาบางอย่างต่อรูปโฉมเขา แม้ว่าเธอจะไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากทำแท้ง เขาก็ยังสามารถคิดโยงไปได้

เธอก็แค่อยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้

เธอไม่คิดจะโต้เถียงกับเขาเพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่ยอมเชื่อสิ่งที่เธอจะพูด ความอคติที่เขามีต่อเธอฝังลึกเข้าไปในกระดูกแล้ว

เธอยกมือขึ้นทัดผมด้านหน้าไปไว้ที่หลังหูอย่างสงบนิ่ง ไม่โกรธไม่ดีใจ “ท่านอ๋อง มีเพียงแค่การที่หม่อมฉันเข้าวังกับท่านเพื่อไปขอหย่า ตัดขาดกันอย่างไม่เหลือเยื่อใยท่านถึงจะยอมเชื่อหม่อมฉันใช่ไหมเพคะ”

มู่หรงฉียกยิ้มเยาะ “เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ กับข้า”

เหลิ่งชิงฮวนเพียงแค่ยิ้มเบาๆ “มู่หรงฉี พวกเราเข้าไปในพระราชวังแล้วขอให้ไทเฮาอนุญาตหย่าเถอะ ดีไหม?”

ความโกรธของมู่หรงฉีพุ่งขึ้นมา “เจ้าแทบทนไม่ไหวขนาดนี้เลยหรือ?”

“นั่นคือสิ่งที่ท่านปรารถนาไม่ใช่หรือ? บางทีหากพวกเราลดความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็อาจจะพูดคุยกันอย่างใจเย็นและยังเหลือความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันเล็กน้อย ส่วนเหล่าไท่จวิน หม่อมฉันเชื่อว่าท่านคงจะโกรธไม่นานหรอกเพคะ”

เส้นเลือดบนหน้าผากของมู่หรงฉีกระตุก “ดี อย่าเสียใจแล้วกัน”

เหลิ่งชิงฮวนเกือบจะหลุดปากออกไปว่า ใครเสียใจคนนั้นแพ้

เธอแทบจะรอไม่ไหวมาตั้งแต่วินาทีที่เธอตัดสินใจจะเก็บเด็กในครรภ์ไว้เป็นที่พึ่งของเธอในอนาคต เธอก็วางแผนที่จะเอ่ยเรื่องนี้กับเขาก่อน มีเพียงการตัดขาดจากเขาให้เร็วที่สุดที่จะช่วยให้เธอโบยบินออกไปได้ไกล และยังสามารถรักษาชีวิตของเด็กคนนี้ไว้ได้ มิเช่นนั้นก็คงต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัว

เธอยกยิ้มเย็นชา “หม่อมฉันไม่ใช้เงิน ไม่กินข้าวของท่านอ๋อง แต่ยังต้องรองรับอารมณ์ท่าน รับการรังแกจากอนุของท่าน หม่อมฉันต้องคิดไม่ตกขนาดไหนถึงจะเสียใจได้?”

มู่หรงฉีกำหมัดแน่น กัดฟันและพูดด้วยความเกลียดชัง “หย่าก็หย่า เข้าวังเดี๋ยวนี้! ข้าจะสนองความต้องการของเจ้ากับคนป่าเถื่อนนั่น!”

เหลิ่งชิงฮวนเกือบจะกระโดดด้วยความตื่นเต้น “ไปกันเถอะ!”

มู่หรงฉีมองเธออย่างเย็นชา โมโหจนควันออกหู อยากจะบดขยี้สตรีตรงหน้าให้แหลกเป็นผุยผงเพื่อระบายอารมณ์

โตวโตวที่ยืนเฝ้าประตูอยู่เห็นทั้งสองคนออกมาจากห้องพร้อมกัน จากนั้นจึงสั่งให้คนรับใช้เตรียมรถและตรงไปที่พระราชวังจริงๆ

จากนั้นแม่หวังแอบออกไปจากข้างกำแพง คงจะรีบไปรายงานเหลิ่งชิงหลางเพื่อขอความดีความชอบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา