ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 431

สรุปบท ตอนที่ 431 เด็กคนนี้เป็นลูกของมู่หรงฉี?: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา

อ่านสรุป ตอนที่ 431 เด็กคนนี้เป็นลูกของมู่หรงฉี? จาก ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา โดย เฉลิมพล

บทที่ ตอนที่ 431 เด็กคนนี้เป็นลูกของมู่หรงฉี? คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยาย โรแมนติค ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย เฉลิมพล อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เหลิ่งชิงฮวนแบะปาก “เปล่านะ แค่คิดว่าการสกัดจุดนี้มันยอดเยี่ยมมากเลย ได้ผลเร็วกว่าการใช้พิษของข้าเสียอีก และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นพิษ ไม่ส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์มากนัก แต่ข้าคิดว่าแค่เอาเชือกมัดมือไว้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรตอนที่โดนสกัดจุด”

“แต่ข้ารู้สึกว่าเชือกเส้นเดียวไม่สามารถควบคุมความสามารถของท่านได้แล้วนะสิ ใช้การสกัดจุดปลอดภัยกว่า รถม้าใกล้จะถึงแล้วพวกเราไปกันเถอะ?”

เพิ่งพูดจบเหลิ่งชิงฮวนก็ได้ยินเสียงเกือกม้าที่หน้าประตูบ้านพักบนภูเขา ก็ไม่รู้ว่าฉีจิ่งอวิ๋นส่งข่าวให้กับโลกภายนอกได้อย่างไร รถม้าถึงได้มาเร็วขนาดนี้

ฉีจิ่งอวิ๋นยื่นแขนออกมาช้อนตัวเหลิ่งชิงฮวนขึ้น เขาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “ท่านตัวหนักจริงๆ”

เหลิ่งชิงฮวนถอนหายใจ “ท่านพี่ของเจ้ามีแต่คิดว่าข้าผอมเกินไป ไม่เคยคิดรังเกียจข้าเช่นนี้ แต่ต่างกันหน่อยจริง ๆ ด้วย มองผิดเสียลูกตาจริง ๆ”

“นี่คือเรื่องจริง ถ้าหากข้าเก็บลูกสะใภ้ที่อ้วนท้วนและลูกชายได้แบบนี้ ไม่ว่าหนักแค่ไหนข้าก็อุ้มไหว”

“มีแม่นางสาวสวยมากมายบนถนนรอให้เจ้าเก็บไปเป็นลูกสะใภ้ ทำไมเจ้าไม่ไปเก็บเล่า?”

สร้างความวุ่นวายเสียจนตอนนี้มู่หรงฉีอยากหาตัวประกันเพื่อมาแลกเปลี่ยนยังหาไม่ได้ คนที่แม้แต่พ่อแท้ ๆ ของตัวเองยังไม่ยอมรับ ต่อให้เอาตัวคนทั้งจวนท่านเคานต์มามัดรวมกันที่นี่ก็ไร้ประโยชน์

ฉีจิ่งอวิ๋นเม้มริมฝีปาก “ตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งเฟยอิงเว่ย ข้าก็คิดไว้แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีวันนี้ เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า บนโลกใบนี้คนที่ไม่รักพ่อแม่นั้นมีอยู่มากมาย แต่คนที่ไม่รักลูกชายตัวเองนั้นมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้น...”

เขาก้มลงมองไปที่เหลิ่งชิงฮวนที่อยู่ในอ้อมแขนเล็กน้อย “ผู้หญิงที่ทำให้ข้าคนนี้สามารถชอบได้ กลับแต่งงานไปแล้ว”

เป็นการมองการณ์ไกลจริง ๆ ไม่แต่งงานก็ดีแล้ว จะได้ลดการทำลายล้างลงไปหนึ่งคน

ฉีจิ่งอวิ๋นพูดล้อเล่นจนเดินออกจากบ้านพักบนภูเขาเป็นที่เรียบร้อย เขาวางนางไว้บนรถม้า ตัวเองก็แหวกชุดคลุมไปด้านข้างและขึ้นรถม้ามาเหมือนกัน จากนั้นก็สั่งคนขับรถม้าด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “ไปได้”

คนขับรถม้าเอียงตัว ขึ้นไปนั่งบนชานไม้บนรถม้า จากนั้นก็ยกแส้ในมือขึ้นแล้วหันหัวรถม้าขับออกไปจากบ้านบนภูเขา

เหลิ่งชิงฮวนเห็นว่าคนขับรถม้าสวมเสื้อคลุมหนังแกะ บนหัวยังสวมหมวกทรงที่มีหูยาวปิดมาถึงหูทั้งสองข้าง ปีกหมวกถูกดึงลงมา ส่วนคางและคอถูกซุกอยู่ในปกคอเสื้อที่ตั้งตรงขึ้นมา มีเพียงส่วนจมูกเท่านั้นที่โผล่ออกมาเพื่อหายใจ

เหลิ่งชิงฮวนเอ่ยถาม “หรือว่าพวกเราไม่ต้องเปลี่ยนเส้นทางที่จะออกไปใหม่หรือ? จะออกไปอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ?”

“เปลี่ยน” ฉีจิ่งอวิ๋นเอ่ยปาก “หลังจากออกจากถนนบนภูเขาลูกนี้ มีโลงศพเตรียมเอาไว้รอท่านอยู่”

เหลิ่งชิงฮวนตัวสั่นด้วยความเย็นยะเยือกและรีบหุบปากลงทันที แต่ก็ยังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย

“ท้องข้าเป็นเช่นนี้สามารถปิดโลงได้หรือ? เจ้าเตรียมโลงอะไรมาให้ข้า? โลงถูกแผ่นบาง ๆ ของชาวบ้านข้าไม่นอนนะ น่ากลัวเกินไป ไม่ถูกสิ เป็นโลงไม้บาง ๆ ดีกว่า ถ้าหากมีใครมองมาไม่ชอบใจขึ้นมาและมาปิดกั้นช่องระบายอากาศของข้าจะทำไง? โลงถูกเนื้อบาง ๆ ระบายอากาศได้ดี”

ฉีจิ่งอวิ๋นส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าว่าสิ่งที่ท่านควรกังวลมากที่สุด ควรจะเป็นเรื่องตอนที่ท่านนอนลงไปในโลงศพ ท่านตายแล้วหรือมีชีวิตอยู่งั้นหรือ?”

ใบหน้าของเหลิ่งชิงฮวนขมขื่นใจในทันที “เจ้าเคยบอกเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า จะเก็บชีวิตน้อย ๆของข้าเอาไว้เพื่อสืบทอดมรดกของเจ้า พูดคำไหนคำนั้น”

“จะเก็บชีวิตของท่านเอาไว้หรือไม่นั้นไม่ใช่ข้าเป็นคนตัดสิน ต้องดูที่มู่หรงฉี” ฉีจิ่งอวิ๋นหันหน้าไปทางข้างหน้าแล้วทำปากยื่นไปทางนั่น “ดูสิ เขามารับท่านแล้ว”

เหลิ่งชิงฮวนเงยหน้าขึ้นมา เป็นอย่างที่คาดไว้จริง ๆ เบื้องหน้าตรงถนนบนภูเขา มู่หรงฉีนั่งอยู่บนหลังม้า ใบหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับจ้องมองรถม้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และเม้มริมฝีปากบาง ๆ แน่นสนิท เสื้อผ้าที่สวมใส่ปลิวไสวไปตามสายลมของภูเขา

แม้ว่าจะดูอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า มีหนวดเครารุงรัง แต่ในสายตาของคนที่มีความรักอย่างเหลิ่งชิงฮวนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมออกมาหนึ่งคำ “หล่อ” จังเลย

สมองของเหลิ่งชิงฮวนเหมือนจะระเบิดดังตูม ขึ้นมา ในคืนฝนฟ้าคะนอง สำนักแม่ชีหนานชาน เฟยอิงเว่ย ทำไมฟังทั้งชื่อสถานที่และช่วงเวลาถึงได้รู้สึกคุ้นหูขนาดนี้ คุ้นหูจนน่าใจหาย

เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดกับมู่หรงฉี กลิ่นอายที่แพร่ออกมาอันคุ้นเคยและความเย็นยะเยือกที่เหมือนว่าจะไม่คุ้นเคยบนร่างกายของเขา ทุกวันนี้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานานจึงได้มองข้ามไป

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้าที่กลางหัวก็ไม่ปาน

หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก่อนหน้านี้ที่ตัวเองถูกมู่หรงฉีส่งสายตาเย็นชาใส่และพูดเยาะเย้ยต่างๆนานาไปเพื่ออะไร? ตัวเองอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตั้งนาน กลัวว่าชาติกำเนิดของลูกจะถูกขุดไปเพื่ออะไร? ที่ตัวเองไล่ล่าอย่างดุเดือดและกำจัดพวกเฟยอิงเว่ยของฉีจิ่งอวิ๋นไปเพื่ออะไร?

เป็นไปไม่ได้!

มู่หรงฉีไปที่สำนักแม่ชีเพื่อทำธุระจับโจร จะไปมีเวลาที่ไหนมาหาความสุขได้เล่า?

ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน เรื่องบังเอิญ

แต่ว่าหน้ากากนกอินทรีของฉีจิ่งอวิ๋นเป็นสีทอง แต่คืนนั้นไอ้สารเลวคนนั้นสวมหน้ากากนกอินทรีสีเงิน ไม่ใช่เขาจะเป็นใครเล่า?

ไม่ได้ ต้องสอบสวนเขาดี ๆ ถ้าหากเป็นความจริง! แม่งสิ! เหลิ่งชิงฮวนผู้นี้จะต้องทุบเขาสักยกอย่างแน่นอน จากนั้นก็ลงโทษเขาให้คุกเข่าต่อหน้า ไม่ให้ขยับเขยื้อน! ลงโทษให้คาบกระบองไม้หนามและโชว์ให้เห็นฟันทั้งแปดซี่! ลงโทษให้เขานอนที่พื้น ลงโทษเขา...

ลงทัณฑ์ทรมานสามร้อยหกสิบห้าอย่าง ค่อย ๆ สลับวนไปเรื่อย ๆ จากนั้นค่อยล้างสมองเขาด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ถึงจะสามารถลบความคับแค้นใจที่มีลงได้

เธอโกรธแค้นจนกัดฟันกรอด

หรือว่าจะเป็นตอนนี้ดี ไม่ต้องรักษาหน้าอีกต่อไปแล้ว เลิกผ้าม่านแล้วพุ่งออกไป ตะโกนเสียงดัง “มู่หรงฉี เจ้าคนสารเลว วันนั้นเป็นเจ้าใช่ไหมที่ต่อสู้เสร็จแล้วฉวยโอกาสจัดการข้าใช่หรือไม่?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา