ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 433

สรุปบท ตอนที่ 433 พินาศไปด้วยกันงั้นหรือ?: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา

ตอน ตอนที่ 433 พินาศไปด้วยกันงั้นหรือ? จาก ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 433 พินาศไปด้วยกันงั้นหรือ? คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยาย โรแมนติค ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา ที่เขียนโดย เฉลิมพล เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

เหลิ่งชิงฮวนดูสงบนิ่งไม่หวาดหวั่น ยังคงพูดเรื่องไร้สาระต่อ “เจ้าบอกเองว่าไม่มีทางที่จะทำร้ายลูกในท้องของข้า จะพาข้าหนีไปสุดขอบฟากฟ้า ออกไปจากเมืองฉางอัน เจ้ายังบอกอีกว่า...”

ฉีจิ่งอวิ๋นกลุ้มใจขึ้นมาแล้ว “ยัยตัวยุ่ง พวกเราออมมือให้กันได้หรือไม่?”

ยังไม่ทันได้พูดจบ ความหึงหวงของท่านอ๋องฉี ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าปลายดาบที่ถูกครอบงำไปด้วยความหึงหวงเล่มนั้น อยู่ ๆ มันก็แทงทะลุรถม้าเข้ามาที่รถม้าของฉีจิ่งอวิ๋น แล้วแทงตรงมาทางฉีจิ่งอวิ๋น

มือข้างหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กับรถม้าของฉีจิ่งอวิ๋นที่กำลังถือดาบจ่อที่คอของชิงฮวนอยู่นั้น ย่อมไม่สามารถทนนั่งอยู่เฉย ๆ รอความตายได้อีก จึงผลักตัวชิงฮวนไปด้านข้างอย่างแรง ส่วนตัวเองก็หันตัวไปข้าง ๆ เพื่อหลบ

เกือบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ผ้าม่านของรถม้าถูกฟันด้วยดาบ ดาบยาวของโฉวซือเส่าเหมือนกับพลังปีศาจก็ไม่ปาน แทงเข้าไปในรถม้าอย่างเงียบเฉียบไร้ซึ่งเสียง เขากับมู่หรงฉีที่คนหนึ่งมีกำลังที่แข็งแกร่ง อีกคนก็มีวรยุทธ์คล่องแคล่วดุเดือด หากร่วมมือกันก็เป็นอะไรที่ไร้ที่ติ

แม้ว่าทั้งสองคนดูจะไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่ว่ายังรู้จักกาลเทศะว่าอะไรสำคัญกว่า ฉวยโอกาสที่เหลิ่งชิงฮวนกำลังพูดจาเรื่องไร้สาระ และตอนที่ฉีจิ่งอวิ๋นกำลังเสียสมาธิ สลับกันลอบโจมตี

วันนี้ฉีจิ่งอวิ๋นได้เตรียมการเอาไว้อย่างดิบดีมานานแล้ว แม้ว่าร่างกายจะถูกฟันด้วยดาบ แต่จะไม่ยอมปล่อยตัวเหลิ่งชิงฮวนไปเด็ดขาด นอกจากจะต้องตายกันไปข้างเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงยอมที่จะเสี่ยงเข้าไปจับตัวเหลิ่งชิงฮวนที่ไม่มีเรี่ยวแรงในการขัดขืนเอาไว้

เมื่อกี้นี้ตอนที่ตกอันตรายเหลิ่งชิงฮวนถูกเขาผลักออก จนร่างเอนไปข้างหน้าทำให้ผมเปียของเธอปัดมาที่ด้านหน้าพอดี

เธอถูกสกัดจุดจนร่างกายแข็งทื่อ ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ แต่ว่านิ้วของเธอยังพอฝืนขยับได้จึงรีบคว้าผมเปียเอาไว้แล้วสอดนิ้วเข้าไปในแหวนนาโน และหยิบผงประสาทหลอนออกมาอย่างรวดเร็ว และเป็นปริมาณที่เพียงพอต่อการล้มช้างได้ทั้งตัว

เมื่อก่อนเธอเคยทำพลาดสองครั้ง รู้สึกว่าผงยาแบบนี้มีประสิทธิภาพไม่แรงพอและช่วงเวลาสำคัญยังใช้งานยุ่งยาก ดังนั้นจึงมีการปรับปรุงสูตรและทำให้บริสุทธิ์มากขึ้น หากใช้มันในที่แคบ ๆ เช่นนี้คงจะเห็นประสิทธิภาพได้ไวมากขึ้น และไม่รู้ว่าจะทำให้คนหลับไปนานกี่วัน ถึงอย่างไรก็ตามจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ชีวิตน้อย ๆ สำคัญกว่า เธอดีดนิ้วออกไปทันที

เวลากระชั้นชิด แม้แต่เธอเองยังไม่มีเวลากินยาแก้พิษล่วงหน้า และตัวเองยังอยู่ใกล้ผงยามากที่สุด ดังนั้นคนแรกที่ล้มลงไปกลับเป็นตัวเธอเอง

ส่วนมือของฉีจิ่งอวิ๋นเปลี่ยนเป็นคว้านางเอาไว้แทน ตอนที่จับไปที่คออันอ่อนปวกเปียกของนาง ตัวเองก็เอนไปข้างหน้าเสียงดังตุบ

คนที่สามเป็นโฉวซือเส่า แม้ว่าเขาจะยืนอยู่นอกรถม้า แต่ก็ทนต่อฤทธิ์ยาที่มีปริมาณมาก ๆ ไม่ได้ เมื่อเห็นทั้งสองคนค่อย ๆ ล้มลงไปทีละคน ก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็สายเกินไปแล้ว พยุงตัวเองกับรถม้าและก็ล้มตัวลงอย่างอ่อนปวกเปียก

สุดท้ายก็เหลือแต่มู่หรงฉี ที่แทงกระบี่เข้าไปแต่กลับพลาดเป้า จิตใจจึงร้อนรนจึงรีบชักดาบออกมา และแทงซ้ำลงไปอีก แต่ภายในรถม้ากลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในตอนนั้นในใจเขารู้สึกว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว คิดว่าชิงฮวนเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำลายรถม้ากลัวจะเป็นการพลาดมือทำร้ายชิงฮวนได้ จึงกระโดดข้ามไปที่ข้างหน้าเพื่อดู แล้วก็ต้องตกตะลึง

ทำไมทั้งสามคนถึงได้นอนลงไปกันหมดได้เล่า? ตายพร้อม ๆ กันงั้นเหรอ?

จุดที่โฉวซือเส่าล้มลงค่อนข้างที่จะขวางทาง มู่หรงฉีจึงดึงคอเสื้อของเขาแล้วโยนหลบไปด้านข้างๆ และรีบมุดตัวเข้าไปในรถม้าเพื่อดูเหลิ่งชิงฮวน เมื่อเห็นว่าร่างกายของนางไม่มีบาดแผลอะไร ลมหายใจยังหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ราวกับว่ากำลังนอนหลับอยู่ก็ไม่ปาน จึงค่อย ๆ วางใจลงได้

เสียงนกหวีดดังขึ้น องครักษ์ที่ซุ่มอยู่ข้าง ๆ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหากยังไม่ได้รับคำสั่งจากเขา ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายรีบรุดไปข้างหน้าและมัดฉีจิ่งอวิ๋นที่ไม่ได้สติเหมือนคนอื่น ๆ เอาไว้

คนจำนวนมากแห่กันไปที่บ้านบนภูเขาเพื่อช่วยเหลือพี่สะใภ้เฉิน และทำลายพรรคพวกที่เหลือของพรรคนกอินทรีให้สิ้นซาก

ปรากฏว่าช้าไปหนึ่งก้าว เมื่อพวกองครักษ์ไปถึงที่บ้านพักบนภูเขา ที่นั่นกลับว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาคน

“เชิญหมอหลวง!” มู่หรงฉีสั่งรองแม่ทัพอวี๋อย่างร้อนรน ท่านหมอจึงกลืนคำวินิจฉัยของตัวเองกลับลงไป และคิดว่าโทษของการศึกษาการแพทย์ไม่เชี่ยวชาญคงไม่หนักหรอกใช่ไหม?

มู่หรงฉีเป็นคนหน้ามีตากว้างขวาง คนที่รองแม่ทัพอวี๋เข้าวังไปเชิญมาไม่ได้มีเพียงแค่หมอหลวงเท่านั้น ยังมีฮ่องเต้ ไทเฮา พระสนมฮุ่ยเฟย ทหารกองเกียรติยศ ข้าราชบริพารรถม้า และทหารรักษาพระองค์ ทั้งหมดเสด็จออกจากวังมาที่จวนท่านอ๋องฉี สร้างความตื่นตระหนกจนชาวบ้านต้องถอยไปมองดูอยู่ห่างๆ ต่างพากันเดาไปต่างๆนานา และสงสัยว่าพระชายาฉีจะคลอดก่อนกำหนดงั้นหรือ?

เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาถึง ในตอนแรกยังมีท่าทีที่ดูสงบนิ่งและไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ แม้ว่าในใจจะกังวลกับหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองมากแค่ไหน แต่ยังคงแสร้งทำเป็นนิ่ง ให้พวกหมอหลวงทำการวินิจฉัยอาการให้พระชายาฉีก่อน

พวกหมอหลวงจับชีพจรทีละคน และสบสายตาให้กันไปมา จากนั้นก็หันหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงไปเหลือบมองหมอเจียงที่นั่งเบียดเสียดหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง และเอ่ยพึมพำอยู่ในใจ

ชีพจรของพระชายาฉีไม่มีอะไรผิดปกติ แถมกระถางถ่านให้ความอุ่นในห้องนี้ก็ร้อนจนใบหน้าของพระชายาฉีมีเลือดแดงฝาดขณะที่กำลังนอนหลับอยู่ ไม่ต้องบอกเลยว่านอนหลับสนิทมากแค่ไหน

ฮ่องเต้เอ่ยเสียงทุ้มลึกขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง?”

พวกหมอหลวงต่างไม่มีใครกล้าออกตัวอย่างบุ่มบ่าม ท่านหมอใหญ่โชคไม่ดีถูกเรียกชื่อ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากกล่าวออกมา

“พระชายาฉีเป็นเช่นนี้เพราะได้ถูกทำให้ตกใจกลัว จนทำให้หัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง บวกกับอาจจะถูกวางยาพิษนิดหน่อย ดังนั้นจึงหมดสติไป กระหม่อมยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่นิดหน่อยเกี่ยวกับใบสั่งยา รอปรึกษาหารือกันแล้ว ก็จะหยิบยามาลองรักษาดูพ่ะย่ะค่ะ”

“ลองดูหรือ?” ท่านอ๋องฉีไม่พอใจอย่างมาก “ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ การทานยาลงไปจะมีผลกระทบอย่างมากต่อทารกในครรภ์ สามารถลองได้งั้นหรือ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา