ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 459

โฉวซือเส่ากวักมือเรียก แม่นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนเดินเข้ามา ใบหน้ารูปไข่ห่าน อีกทั้งยังอุ้มเด็กทารกจ่ำม่ำ ตาสองชั้น หางตาตกเล็กน้อย แต่หน้าตาน่ารัก ดูเหมือนกับเธอสงบเสงี่ยมสุภาพ อ่อนโยนใจดี เหมือนกับดอกสาลี่กลางฝนปรอย ทำให้คนมองแล้วรู้สึกสบายใจเวลาอยู่ใกล้

“หมอตำแยของต่างๆ ข้าจะเตรียมไว้ให้หมดแล้ว ช่วงที่ข้าไม่อยู่จะให้เหล่ยอวี้มาดูแลเจ้า นางแซ่เฟิง ไว้ใจได้”

สาวน้อยยิ้มให้กับเธออย่างอ่อนโยน “ฮูหยิน”

โฉวซือเส่าค่อนข้างท่ีจะพอใจ “ชื่อเรียกฟังแล้วรื่นหูดีจัง”

เหลิ่งชิงฮวนแค่หยุดคิิดครู่หนึ่ง ยกมือโบกปัด “เรียกข้าว่าเหลียงเจียงเถอะ ในเมื่อต้องปกปิดตัวตน ชื่อเดิมก็ไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้วล่ะ”

เฟิงเหล่ยอวี้พยักหน้า “เหลียงเจียงฮูหยิน”

“ชื่อยาสินะ” โฉวซือเส่าหัวเราะ “ใช่ตัวที่บำรุงไตหรือเปล่านะ?”

เหลิ่งชิงฮวนเหลือบมองเหยียด “หากข้าบอกว่าใช้ เจ้าจะตุ๋นให้ข้ากินหรือไง?”

“ไม่ต้องหรอก ยาของเจ้ามีฤทธิ์แรง มองแวบเดียวก็รู้ว่าได้ผล” โฉวซือเส่าหมุนขลุ่ยหยกที่อยู่ในมือเล่น จากนั้นก็เสียบไว้ที่เข็มขัด หยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ที่แขวนไว้อยู่ด้านข้าง “ต้องไปแล้วล่ะ ระวังตัวเองด้วย รอข้ากลับมาแต่งงานกับเจ้า”

โดยปกติแล้ว ในบทละคร คนที่พูดประโยคแบบนี้ออกมา มีความเป็นไปได้สูงว่า ถ้าไม่กลับมาไม่ได้แล้ว ไม่ก็เปลี่ยนใจแล้ว

ยังไงซะ ก็แต่งงานกันไม่ได้

เมืองหลวง

ทุกคนต่างก็บอกว่ามู่หรงฉีนั้นเป็นบ้าไปแล้ว

ศพของพระชายาฉีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้เขาเหมือนคนวิกลจริต เชื่อมั่นว่าที่เหลิ่งชิงฮวนยังมีชีวิตอยู่ ทว่าใช้การแสดงตบตาไม่ให้จับได้ หนีไปแล้ว

ทุกคนต่างพูดโน้มน้าวให้เขาคลายความเสียใจ เรื่องประหลาดไร้สาระแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน? ก็เห็นๆอยู่ว่าพระชายาฉีตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง? ต่อให้นางมีทักษะทางการแพทย์ที่เป็นเลิศ ยังสามารถทำให้ตัวเองฟื้นจากความตายได้ด้วยหรือไง?

เขากลับทำเป็นหูทวนลม แทบจะพลิกแผ่นดินเมืองหลวง

น่าเสียดาย ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย พระชายาฉีก็เหมือนกับคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ยามเป็นไม่เจอคน ยามตายไม่เจอศพอย่างแท้จริง สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือชายประโปรงผืนนั้น

มู่หรงฉีฆ่าหมอหลวงคนนั้นที่ช่วยเหลิ่งชิงหลางฆ่าคน ทรมานเหลิ่งชิงหลางจนเกือบตาย โหดเหี้ยมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ผมจอนทั้งสองข้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเศร้าโศกอย่างมาก หรือการฝืนทำลายคาถาคุมจิตทำร้ายอวัยวะภายใน ถึงได้เปลี่ยนเป็นสีขาวหิมะ

ตอนที่เขาขี่ม้า ความเร็วที่วิ่งอยู่ถนนตรอกซอกซอยในเมืองหลวง ผมขาวทั้งสองข้างนั้นปลิวไสวท่ามกลางสายลมหนาว ทิ่มหน้าทิ่มตาเขา เคืองตาอย่างมาก

ส่วนตัวการใหญ่จ่ินอวี๋ รองแม่ทัพอวี๋นำกำลังทหารอารักขาจวนอ๋อง ไล่ตามไปตลอดทาง บนหลังม้าว่างเปล่าตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าจ่ินอวี๋ถูกโยนลงจากหลังม้าที่ไหน

เขาพาคนกลับไปตามจับกุมอย่างโมโห กลางคืนเงียบสงบ เป็นเวลาดีที่พระถังซำจั๋งต่อสู้กับปีศาจอยู่หลายรอบ ถนนดอกไม้ในหอคณิกา ตกใจจนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน เต็มไปด้วยเด็กไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่มีที่วางสายตา ไม่ว่าจะจะบุกเข้าไปในไหน ภาพดอกไม้ขาว กระชากผ้าห่มคลุมหน้าอย่างตื่นตระหนก

ในที่สุดท่ามกลางเสียงก่นด่า รองแม่ทัพอวี๋พาลูกน้องหนีไปอย่างทุลักทุเล

ฮ่องเต้สั่งให้คนระดมกำลังทหารยกทัพไปปราบปรามแคว้นมั่วเป่ย ไต่ถามเรื่องที่ซ่อนตัวจิ่นอวี๋ ยังไม่ทันทีจะได้ออกเดินทาง ราชทูตมั่วเป่ยเข้าเมืองหลวงมาอย่างพอดิบพอดี บอกว่าตอนที่ท่านหญิงจิ่นอวี๋อยู่ที่ศาลาพักม้า ใช้คาถาคุมจิตทำให้องค์ชายอันต๋ามึนสลบไป แอบหนีออกมาจากสถานีพักม้า หลังจากที่ถูกขอทานทำให้ด่างพร้อย บุคคลก็หายสาบสูญ

องค์ชายอันต๋าเพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของจิ่นอวี๋เสื่อมเสีย ศักดิ์ศรีของฉางอัน จึงสั่งให้คนแอบค้นหาอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่เป็นผล ก็เลยสั่งให้คนมารายงานข่าว

นอกจากนี้ ราชทูตมั่วเป่ยยังนำตัวขอทานที่ทำให้จ่ินอวี๋ด่างพร้อยกลับมาด้วย ผมเพ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ขี้มูกไหล พบเจอผู้คนก็หัวเราะ เผยให้เห็นเขี้ยวเหลืองซีด

ขอทานยังคงเล่าบรรยายอย่างสมจริงสมจังตอนที่จิ่นอวี๋เป็นฝ่ายขอเสื้อผ้าจากเขา หลังจากนั้นก็ถูกทำให้มีมลทิน ใบหน้าหวนรำลึก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา