ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 46

ใบหน้าของสี่กงกงแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่าลำบากใจ

เหลิ่งชิงฮวนรู้ว่าเขาภักดีต่อไทเฮาและต้องเข้าใจผิดว่าเธอมีเจตนาอย่างอื่น ดังนั้นเธอจึงรีบเอ่ยเสริม “ไม่มีความหมายอื่นใด ขอพูดกับสี่กงกงอย่างตรงไปตรงมา วันนี้ข้ากับท่านอ๋องเข้าวังมาเพื่อเรื่องหย่า แต่ใครเล่าจะรู้ เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องฉีกลับเปลี่ยนใจกะทันหันและดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจข้าผิด ข้าจึงต้องการทราบเหตุผล”

สีหน้าของสี่กงกงผ่อนคลายลง “นี้มันง่ายมาก กระหม่อมจะส่งกุ้ยจื่อไปถามคนรับใช้ของไทเฮา”

กุ้ยจื่อคือขันทีน้อยที่คอยติดตามเขา เขารับคำสั่งและออกไปทันที หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาและรายงานเหลิ่งชิงฮวนอย่างละเอียด

“บ่าวได้สอบถามอย่างชัดเจนแล้ว ดูเหมือนว่าหลังจากที่พระชายาออกไปไทเฮาก็ถามท่านอ๋องฉีว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนแรกท่านอ๋องฉีไม่ยอมบอกแต่ไทเฮาก็ทรงจี้ถาม จึงบอกว่าชายารองและเด็กรับใช้ในจวนถูกวางยาพิษ และสงสัยว่าพระชายาเป็นคนบงการ ทั้งสองจึงทะเลาะกัน”

นี่คือความจริง เหลิ่งชิงฮวนพยักหน้า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

“ต่อมาไทเฮาสั่งให้ตามหมอหลวงมา หมอหลวงอธิบายว่าเด็กรับใช้น่าจะกินลิ้นจี่มากเกินไปจนทำให้นางเป็นลมกะทันหัน สิ่งที่ไทเฮาพูดก็สมเหตุสมผล ไทเฮาจึงตำหนิท่านอ๋องฉี แต่ท่านอ๋องฉีก็ยังยืนยันที่จะหย่ากับพระชายา”

“แล้วทำไมถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ?”

เสี่ยวกุ้ยจื่อเหลือบมองสี่กงกง

“หลังจากนั้นไทเฮาก็ทรงกริ้วมาก ต้องการลงโทษชายารองที่ก่อเรื่องโดยเปล่าประโยชน์และยุยงให้เกิดความแตกแยก ท่านอ๋องฉีจำต้องยอมโดยบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด เมื่อกลับจวนจะขอโทษพระชายาและจะไม่เอ่ยถึงเรื่องหย่าอีกเด็ดขาด”

เห็นได้ชัดว่าไทเฮาทรงใช้เหลิ่งชิงหลางมาบีบบังคับมู่หรงฉี ซึ่งมันทำให้เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกประหลาดใจมาก มิน่ามู่หรงฉีถึงได้กล้ำกลืนฝืนความโกรธต่อหน้าไทเฮาแล้วมาพูดจาเย้ยหยันเธอลับหลัง

เหลิ่งชิงหลางเป็นคนโปรดของเขา เขาจะยอมให้นางถูกลงโทษได้อย่างไร?

ไทเฮาท่านกลัวการร้องเรียนอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้นมู่หรงฉีต้องแสดงความรับผิดชอบต่อกะหล่ำปลีน้อยผู้น่าสงสารอย่างเธอโดยไม่ต้องสงสัย

เหลิ่งชิงฮวนถอนหายใจเบาๆ การหย่าของเธอกับมู่หรงฉีต้องยืดเยื้อไปเรื่อยๆ เช่นนี้หรือ?

เมื่อเธอออกมาจากที่พักของสี่กงกง มีคนในวังบอกเธอว่ามู่หรงฉีไปทำความเคารพพระสนมฮุ่ยเฟยและบอกให้เธอไปรอเขาที่ทางเข้าสวนอวี้ฮวาอีกประเดี๋ยวจะกลับจวน

เมื่อนึกถึงครั้งล่าสุดที่เธอเข้าวัง พระสนมฮุ่ยเฟยมีสีหน้าบูดบึ้งราวกับรังเกียจเธอ เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกว่าการรอคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแม้ว่าจะดูไร้มารยาทไปบ้างก็ตาม

คนในวังพาเธอไปที่สวนอวี้ฮวาแล้วจากไป เธอนั่งในที่ร่มมองไปรอบข้างตาปริบๆ เธอหิวจนไส้กิ่วแล้ว

ในที่สุดก็เห็นมู่หรงฉีเดินมาจากทางวังของพระสนมฮุ่ยเฟย เขาเดินอย่างไม่เร่งรีบราวกับกำลังเดินเล่น นอกจากนี้ยังมีสตรีนางหนึ่งสวมชุดกงจวงดูสวยสง่าอยู่ใกล้เขา

ทั้งคู่เดินเล่นพลางพูดคุยกัน มู่หรงฉียังคงมองไปข้างหน้าท่าทางหยิ่งผยอง

เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ เหลิ่งชิงฮวนก็มองเห็นคิ้วและดวงตาของสตรีนางนั้น คิ้วพระจันทร์เสี้ยวและดวงตาหงส์ จมูกปากราวลูกอิงเถาและลักยิ้มข้างเมื่อนางยิ้ม เป็นความงามแบบเรียบง่ายมาตรฐาน มองแวบแรกนางดูเป็นสตรีที่อ่อนโยนและมีคุณธรรม

ริมฝีปากของนางมีรอยยิ้มเขินอายจางๆ อยู่เสมอ และเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉี ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความชื่นชมล้นปรี่

เอาเป็นว่าคนเจ้าชู้อย่างมู่หรงฉีไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ย่อมมีตัวสำรองเสมอ แค่ไปถวายพระพรเสด็จแม่ยังจะไปคาบสตรีมาอีก

เหลิ่งชิงฮวนซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาของแท่นวางดอกไม้ที่มองเห็นมู่หรงฉี มู่หรงฉีมองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นเธอ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยรู้สึกร้อนใจ

“ได้ เจ้ากลับไปเถอะ อย่าลืมช่วยเกลี้ยกล่อมเสด็จแม่ให้ข้าด้วย”

สาวงามเอ่ยเสียงเบา “ท่านพี่วางใจ ทางด้านพระสนมฮุ่ยเฟยยังมีหม่อมฉันอยู่ พระนางวางแผนให้ท่านพี่อย่างรอบคอบ อันที่จริงท่านพี่ลองเก็บคำพูดของพระนางกลับไปคิดดูก่อน ตามกฎแล้วท่านเป็นท่านอ๋อง สามารถแต่งตั้งอนุได้สองคนเพคะ”

มู่หรงฉีส่งเสียงตอบรับเบาๆ “เรื่องพระชายาข้าจะจัดการตามถูกต้อง เจ้ากลับไปได้แล้ว”

สาวงามไม่ขยับเขยื้อน นางลังเลที่จะพูดแต่สุดท้ายก็รวบรวมความกล้า “หม่อมฉันเคยพบเจอกับเหลิ่งชิงฮวนและเหลิ่งชิงหลางมาก่อน พวกนางล้วนไม่คู่ควรกับท่านพี่ ท่านสมควรได้รับสตรีที่ดีกว่านี้”

มู่หรงฉีไม่สนใจ ไม่มีความยินดีหรือความโกรธใดๆ เขาเพียงเปิดริมฝีปากออกมาอย่างเย็นชา “ข้าไม่สนว่าคู่ควรหรือไม่ ตราบใดที่ข้าชอบ”

สาวงามเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉีอย่างขุ่นเคือง “ท่านพี่ชอบเหลิ่งชิงหลางมากขนาดนั้นเลยหรือ? ถึงขั้นต่อต้านไทเฮาเพื่อยกตำแหน่งพระชายาให้นาง?”

มู่หรงฉีพยักหน้าโดยไม่ต้องคิด “นี่คือสิ่งที่ข้าสมควรมอบให้นาง”

สาวงามพูดตะกุกตะกัก “แต่พฤติกรรมของนางนั้นยากจะเอ่ยทั้งยังเทียบเหลิ่งชิงฮวนไม่ได้ หรือเพราะว่านางมีจวนมหาเสนาบดีและจวนรองเสนาบดีหนุนหลังอยู่?”

มู่หรงฉีจ้องมองที่สาวงามก่อนจะค่อยๆ ยกริมฝีปากขึ้น “ข้าต้องการหรือ? “

น้ำเสียงของเขาแฝงความไม่พอใจ สาวงามกัดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ “เจียวจิ่นพูดมากเกินไป”

เหลิ่งชิงฮวนที่อยู่ไม่ไกลได้ยินชัดเจนเต็มสองหู หัวใจของเธอก็ร้อนรุ่มขึ้นมา ลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นคู่รักกันโดยธรรมชาติ สาวงามผู้นี้ตกหลุมรักมู่หรงฉีอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังคิดว่าสตรีทุกคนในโลกนี้ไม่ดีพอสำหรับมู่หรงฉียกเว้นตัวนางเอง

เธอเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมวันที่ไปยกน้ำชาให้พระสนมฮุ่ยเฟย พระนางถึงได้ปฏิบัติกับตนอย่างไร้เหตุผลเช่นนั้น ตอนนี้เธอรู้ต้นตอแล้ว ไม่ใช่ว่าพระสนมฮุ่ยเฟยเบื่อแต่กำลังคิดจะทำอะไรลับหลังเธอ

ดังนั้นมู่หรงฉีจึงน่าจะพอคาดเดาได้ ตอนนั้นเขาถึงได้ไม่เปิดโปงว่าเธอใส่ความว่านางกำนัลวางยาพิษใช่ไหม?

มีคนเช่นนี้อยู่ข้างกายจึงไม่น่าแปลกใจที่แม่สามีคนนี้จะปฏิบัติต่อเธอเช่นนั้น

เมื่อเห็นท่าทางอาลัยอาวรณ์ของสาวงาม เห็นได้ชัดว่านางไม่เห็นหัวพระชายาอย่างเธอเลยสักนิด

เหลิ่งชิงฮวนยืนขึ้นยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน และเดินเข้าไปตรงที่ที่ทั้งสองกำลังคุยกันช้าๆ

เมื่อเธอลุกขึ้นมู่หรงฉีก็เห็นเธอ ก่อนจะหันไปสั่งสาวงามอีกครั้ง “พอแล้ว เจ้ากลับไปได้แล้ว”

สาวงามส่งยิ้มหวานให้เหลิ่งชิงฮวน “นี่พระชายามิใช่หรือเพคะ? ในเมื่อพบแล้วจะไม่เคารพก็คงไม่ได้”

เหลิ่งชิงฮวนเลิกคิ้ว “สาวงามผู้นี้รู้จักหม่อมฉันได้อย่างไรกัน ไม่เห็นจำได้เลย”

“หม่อมฉันรับใช้ในตำหนักพระสนมฮุ่ยเฟย ครั้งก่อนที่พระชายาเข้ามาในวังเคยพบกันครั้งหนึ่ง เรียกหม่อมฉันว่าจิ่นอวี๋ก็ได้เพคะ”

หากบอกว่าชื่อเจียงจิ่นนั้นฟังดูคุ้นหู แต่ “จิ่นอวี๋” สองคำนี้เหลิ่งชิงฮวนกลับรู้จักดี หลังจากจบศึกมารดาของนางเกิดในราชวงศ์และยังมีฐานะเป็นถึงจวิ้นจู่ ดังนั้นนางและมู่หรงฉีจึงแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย

บิดาของนางตายในสนามรบ มารดาก็จากไปเร็ว นางเติบโตมาพร้อมกับข้ารับใช้ของพระสนมฮุ่ยเฟย จิ่นอวี๋สองคำนี้เป็นชื่อที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ในฐานะจวิ้นจู่

เหลิ่งชิงฮวนยิ้มอย่างอบอุ่น “เช่นนั้นทำไมหม่อมฉันถึงไม่เคยพบเจอแม่นางเจียวจิ่นเลยเล่า? ความงามและอ่อนโยนเช่นนี้ได้เห็นเพียงครั้งเดียวคงยากที่จะลืมแน่นอน”

เจียวจิ่นรู้สึกเขินอาย ครั้งสุดท้ายที่เหลิ่งชิงฮวนเข้ามาในวัง นางไม่ปรากฏตัวแต่แอบอยู่ด้านหลัง ช่างเป็นเรื่องขายหน้าจริงๆ

มู่หรงฉีไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงคว้ามือของเหลิ่งชิงฮวน “ไปเถอะ สายแล้ว”

มือเล็กๆ ที่มีน้ำมีนวลแต่อ่อนแอราวกับไร้กระดูกของเหลิ่งชิงฮวนถูกโอบด้วยฝ่ามือหนาขนาดใหญ่ของเขา เธอพยายามขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้น เท้าของเธอไม่ขยับ ยังมีคำถามที่เธอยังไม่ได้ถามชัดเจน แบบบนี้มันไร้ราคาเกินไป

มู่หรงฉีเบือนหน้าออกไปอีกทางก่อนจะมองเธออย่างกระวนกระวายใจ “ไปเถอะ”

ถ้าเก่งนักก็พาลูกพี่ลูกน้องท่านกลับไปด้วยสิ นางติดท่านอย่างกับกอเอี๊ยะหนังหมาขนาดนั้น ท่านก็แค่รังแกข้าไม่ใช่เหรอ?

“หม่อมฉันกับแม่นางเจียวจิ่นเพิ่งเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกคุ้นเคย หม่อมฉันมีบางอย่างยังไม่ได้...”

“เหนื่อยหรือ? เดินไม่ไหว?” มู่หรงฉีขมวดคิ้วก่อนจะส่งสายตาข่มขู่

จู่ๆ หัวใจของเหลิ่งชิงฮวนก็ส่งเสียงเตือน ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตอบสนอง มู่หรงฉีก็หันหลังลงไปนั่งยองๆ ให้เธอ ก่อนจะออกแรงที่ข้อมือแบกเหลิ่งชิงฮวนขึ้นไปบนหลัง

มือข้างหนึ่งของเขาจับข้อมือเธอ มืออีกข้างประคองขาแล้วก้าวออกจากสวนอวี้ฮวา

เหลิ่งชิงฮวนพยายามขัดขืนในตอนแรกแต่ไม่นานก็สงบลง แล้วหันมาโบกมือให้เจียวจิ่นที่ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ “แม่นางเจียวจิ่น ไว้เจอกันคราวหน้านะ”

จู่ๆ มู่หรงฉีก็ออกแรงบีบมือของเธอ จนเธออดไม่ได้ที่จะอุทาน จากนั้นก็เหวี่ยงกำปั้นสีชมพูทุบไหล่ของมู่หรงฉีสองครั้ง แม้จะดูอ่อนแอแต่ก็ยังมีแรงมาก เธอตวาดอย่างฉุนเฉียว “ต่อหน้าแม่นางเจียวจิ่น น่าอายที่สุด น่าเกลียด!”

เหลิ่งชิงฮวนอยากจะหันกลับไปมองใบหน้าสวยนั้น แต่มู่หรงฉีเดินเร็ว เขาก้าวไปกี่ก้าวก็จากมากไกลแล้ว เมื่อหันกลับไปก็เห็นสาวงามคนนั้นยังยืนอยู่กับที่ด้วยความโศกเศร้า

เฮ้อ ข้ามอบทั้งใจให้แสงจันทร์ แต่แสงจันทร์กลับสาดส่องไปที่คูน้ำ นี่มันหนี้รักของมู่หรงฉีชัดๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา