ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 49

ระหว่างที่จือชิวกำลังย่างก้าวเดินเข้ามา เสื้อที่ทำจากผ้าไหมเนื้อนุ่มๆ ที่ถูกทำให้เปียกโชก เปียกปอนแนบติดบนไหล่ และยังมีไอน้ำบางๆ ปกคลุมเป็นชั้นๆ อยู่บนเส้นผม ทำให้ดูน่าสงสารเล็กน้อย

“ข้ามาที่นี่เพื่อมาชดใช้ความผิดกับท่านอ๋อง”

“ท่านอ๋องพักผ่อนไปเรียบร้อยแล้ว ห้ามเข้าไปรบกวนเป็นอันขาด ถ้าหากไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ขอเชิญแม่นางจือชิวกลับไปก่อนเถิด”

จือชิวยกชายกระโปรงขึ้น แล้วคุกเข่าลงไปตรงพื้นหินที่เปียกๆ นั้น และหันหน้าตรงไปยังทิศทางของประตูห้องตำรา จากนั้นก็เอ่ยอ้อนวอนด้วยเสียงสั่นเทา

“ท่านอ๋องเพคะ บ่าวจือชิวมาเพื่อจะขอรับโทษ วันนี้เป็นจือชิวเองที่พูดอะไรลืมตัว พูดจาส่งเดชไป จนทำให้ท่านอ๋องกับพระชายาเกิดความขัดแย้งกัน คุณหนูของบ่าวได้ลงโทษบ่าวอย่างสาสมแล้ว และสั่งให้บ่าวมาที่นี่ เพื่อมาขอรับโทษจากท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องได้โปรดให้อภัยด้วยเพคะ”

หลังจากพูดจบ ก็เอียงหูตั้งใจฟัง

แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในห้องตำราเลย หลังจากผ่านไปชั่วครู่ น้ำเสียงอันเรียบเฉยและเย็นชาของมู่หรงฉีก็ดังขึ้นมา “ในเมื่อได้รับโทษไปแล้ว ยังจะมาทำอะไรที่นี่อีกกันเล่า?”

“บ่าวแค่ไม่ต้องการให้ท่านอ๋องโกรธคุณหนูของบ่าวเพคะ เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูของบ่าวเลยเพคะ ล้วนเป็นความผิดของบ่าวทั้งสิ้น”

น้ำเสียงของมู่หรงฉีภายในห้องตำราดังขึ้นมาอย่างเย็นชายิ่งไปกว่าเดิม “ใครบอกเจ้าว่าข้าโกรธนางกัน?”

“คุณหนูชะเง้อคอรอท่านมาตลอดทั้งช่วงบ่าย...”

“องครักษ์!”

มู่หรงฉีเอ่ยพูดตัดบทบ่าวสาวอย่างหงุดหงิด

องครักษ์เข้าใจในทันที รีบก้าวเดินไปข้างหน้าและดึงตัวจือชิวให้ลุกขึ้นมาจากพื้น “รีบไปเถอะ หากยังไม่ไปอีก ท่านอ๋องคงจะลงโทษจริงๆ”

จือชิวส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดอย่างเสแสร้ง “โอ้ยยย...เจ็บเหลือเกิน!”

องครักษ์รีบหยุดมือลงทันที จือชิวเอียงหูฟัง แต่แสงไฟของเทียนภายในห้องดับลงแล้ว นางกัดฟันอย่างไม่พอใจ แสยะยิ้มอย่างเย็นชาและหันหลังกลับไปที่เรือนจื่อเถิง

ภายในห้องตำรา มู่หรงฉีรู้สึกจิตใจสับสน คิดฟุ้งซ่าน พลิกตัวไปมายังไงก็นอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมาผลักหน้าต่างเปิดออก ยืนเอามือไขว้หลังและมองดูท้องฟ้าด้านนอกที่มืดมิดเหมือนดั่งน้ำหมึก

คำพูดของจือชิวเหมือนจะเป็นการมาขอรับโทษ ยอมแบกรับเอาความผิดทั้งหมดเอาไว้ที่ตัวเองคนเดียว แต่กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า เรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหลิ่งชิงหลางแอบบงการสั่งอยู่ ตอนนี้เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจึงให้สาวใช้คนหนึ่งออกหน้ามารับโทษแทน

ยังจำได้ว่าวันนั้นจือชิวสาบานอย่างจริงจังว่าได้เห็นเลือดและหนังขนของกระต่ายอยู่ที่หน้าประตูของตำหนักฉาวเทียนจริงๆ

เหลิ่งชิงหลาง ไม่ใช่คนที่ใสซื่อจิตใจงดงามและดูอ่อนแออย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้แต่อย่างใด

รู้สึกรำคาญใจหงุดหงิดจนนอนไม่หลับ ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ รู้เพียงแต่ว่า ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะเหลิ่งชิงฮวนผู้หญิงคนนั้นทั้งสิ้น

ครั้งแรกที่ได้พบกับหลิ่งชิงฮวน ที่จริงแล้วก็คือในปีที่นางเพิ่งจะเข้ามาในเมืองหลวงปีนั้น แคว้นหนานจ้าวได้เรียกขุนนางทั้งหลายเข้ามาในเมืองหลวง พวกเขาเหล่าองค์ชายทั้งหลายก็บังเอิญอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับในครั้งนั้นพอดี การปรากฏตัวของนางและแม่ของนาง อีกทั้งพี่ชายทั้งสามคนทำให้ขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงเกิดอาการเงิบกันไปเป็นแถบ

ฉางอันเป็นรัฐที่ขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับมารยาทและมีพิธีรีตองอย่างมาก แต่เสนาบดีเหลิ่งก็สอบผ่านเข้ามาได้ และได้รับตำแหน่งในฉางอัน เขาเป็นแบบอย่างของบัณฑิตทั่วหล้า แถมยังเป็นผู้นำที่รับผิดชอบในการต้อนรับขุนนางจากแคว้นหนานจ้าวอีกด้วย แต่เพื่อที่จะครอบครองอำนาจ เขากลับทอดทิ้งภรรยาและลูก อีกทั้งยังบีบบังคับภรรยาคนแรกและลูกของเธอจนหมดหนทาง ชาวฉางอันถูกตบหน้าไปหนึ่งฉากเข้าอย่างจัง

สำหรับเรื่องที่ท่านแม่ของเหลิ่งชิงฮวนในเวลานั้นทำยังไงถึงคิดเข้าใจสัจธรรมได้ เสนาบดีเหลิ่งเองก็จำไม่ได้ชัดเจนนัก

จำได้แต่เพียงว่า เหลิ่งชิงฮวนในตอนนั้นมัดมวยผมสองข้าง ตัดผมหน้าม้าเสมอคิ้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับขุนนางต่างในแคว้นหนานจ้าวที่ใช้เงินทองและเครื่องประดับหลอกล่อนาง ดวงตาของนางเบิกกว้างและกะพริบตาปริบๆ ปากเล็กๆ ที่เหมือนดั่งกลีบดอกไม้อ้าปากค้าง และเอ่ยถามคำถามติดต่อกันอยู่สองสามครั้ง ทุกครั้งตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับสะอึกเลยทันที

ว่ากันว่าคำพูดของเด็กเป็นคำพูดพล่อยๆ ผู้ใหญ่ไม่ควรจะถือสาเอาความ ขุนนางของแคว้นหนานจ้าวเหมือนกับว่ากำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยนอย่างไรอย่างนั้น ในเวลานั้นต่างพากันหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนไปกินรังแตนที่ไหนมาก็ไม่ปาน

เสด็จพ่อและเสด็จย่ากลับแย้มยิ้มและมีสีหน้าอ่อนโยน

เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังพูดนินทาลับหลังเหลิ่งชิงฮวนว่า “นางหนูคนนี้ปากร้ายกาจจริงๆ ในอนาคตใครกันจะโชคร้ายที่ต้องแต่งนางเป็นภรรยากันนะ”

พี่ชายใหญ่ชำเลืองมองมาที่เขาด้วยเจตนาไม่ดีบางอย่าง “เป็นภรรยาให้เจ้าสามสิ เขามีวรยุทธ์ดี ถ้าภรรยาไม่เชื่อฟังก็จัดการนางให้ร้องเสียงหลงไปเลย”

องค์ชายทั้งหลายต่างพากันแอบหัวเราะ ต่อมาเสด็จย่าก็ยกนางให้ตัวเองจริงๆ

เมื่อเขาพาทหารกลับเข้ามาในเมืองหลวง สิ่งที่แรกที่ทำก็คือวิ่งไปหาเสด็จย่าเพื่อยกเลิกงานแต่งงาน หญิงสาวฝีปากกล้าแบบนี้ไม่สามารถแต่งงานด้วยได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ยินมาว่านางอาศัยอยู่นอกเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ จะต้องป่าเถื่อนอย่างแน่นอน แต่สุดท้ายกลับถูกเสด็จย่าตำหนิกลับมาหนึ่งรอบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา