ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 50

เหลิ่งชิงหลางฟาดผ้าที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะเครื่องแป้งดัง เพี้ยะ เสียงดังขึ้นมา

“ช่างกำเริบเสิบสานไปแล้ว เมื่อตอนที่ใกล้จะแต่งงาน ท่านแม่ก็เคยกำชับกับข้าไว้ก่อนหน้านี้ แต่ข้าไม่เชื่อ ไม่คิดเลยว่า นางจะกล้ามีความคิดเช่นนี้จริงๆ แม่จ้าว ไปจับนางแพศยานั่นมาให้ข้าที ข้าอยากจะเห็นนักว่าทำไมนางถึงได้กล้าดีเช่นนี้? หรือว่าไม่รู้ว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าแค่ไหน?”

“ฮูหยินท่านต้องใจเย็นๆ กว่านี้ก่อนเจ้าค่ะ” แม่จ้าวเหลือบมองไปยังลานด้านนอกจวนทางหน้าต่าง และกระซิบเตือนด้วยเสียงเบา “ต่อให้ท่านถามนางไป นางก็จะพูดจากลับกลอก หรือต่อให้ท่านตีนางจนตาย นางก็ไม่มีทางยอมรับออกมา และยังจะทำลายความรู้สึกระหว่างนายกับบ่าวเสียเปล่า”

เหลิ่งชิงหลางมองสำรวจไปที่แม่จ้าวที่อยู่ตรงหน้า และนึกถึงคำเตือนจากตระกูลจินที่กำชับด้วยความหวังดีครั้งแล้วครั้งเล่า

ตระกูลจินบอกว่า ถ้าหากตัวนางอยากยกจือชิวขึ้นมาเป็นสาวใช้ข้างห้องนั้นก็ถือว่าเป็นพระคุณของนาง แต่ถ้าจือชิวตะเกียกตะกายขึ้นมาด้วยตัวเองละก็ นั้นก็คือการไม่เห็นหัวเจ้านายอยู่ในสายตา คนประเภทนี้มีบุญคุณท่วมหัวแต่กลับเนรคุณคน มีความทะเยอทะยานสูง ไม่สามารถเลี้ยงไว้จนเคยตัวได้

แต่แม่จ้าวนั้น ไม่มีความทะเยอทะยานสิ่งใดในใจมีแต่หวังดีคิดจะทำเพื่อเจ้านายเท่านั้น

จือชิวรับใช้เหลิ่งชิงหลางมาหลายปี และซื่อสัตย์มาโดยตลอด ดังนั้นเหลิ่งชิงหลางจึงทำเป็นหูทวนลมไม่ฟังคำพูดที่พูดเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความหวังดีของจินซือ หลังจากแต่งงานเข้าจวนอ๋องมาแล้ว จะไปไหนมาไหนก็จะพาจือชิวไปด้วยเสมอ แม้ว่าตอนอยู่ต่อหน้ามู่หรงฉี จือชิวชอบพูดมากเกินงาม แกล้งทำอะไรอวดฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ตัวเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

กลับเป็นแม่จ้าวคนนี้ ที่แอบทำอะไรต่างๆ อย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ดูแลทุกอย่างทั้งภายนอกและภายในจวนไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ไม่เคยมาทำอวดเก่งต่อหน้าตัวเองเลยสักครั้ง

เรื่องที่แม่จ้าวกับจือชิวลับหลังไม่ลงรอยกันนั้น นางรู้มาตั้งนานแล้ว เพราะว่าลับหลังจือชิวเองก็แอบนินทาแม่จ้าวเอาไว้อยู่ไม่น้อย แต่ที่เหลิ่งชิงหลางปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เพราะว่าถ้าหากทั้งสองคนเข้ากันได้ดี นางที่เป็นเจ้านายต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายระวังตัวเอง

วันนี้เมื่อได้ยินแม่จ้าวเอ่ยพูดเรื่องไม่ดีของจือชิวต่อหน้าตัวเอง ตัวนางจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงต้องการเรียกหาจือชิวมาถามไถ่เพื่อยืนยัน

“ถ้าไม่ชักสีหน้าให้นางเห็นสักนิด หรือว่าจะปล่อยให้นางทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้ต่อไปหรือไง? ต่อให้ไม่มี ก็ต้องมีพูดเตือนให้ทราบหน่อย ให้นางตายใจให้เร็วที่สุด”

แม่จ้าวยิ้มเล็กน้อย “ช่วงนี้ที่คุณหนูใจร้อนหงุดหงิดง่ายไปหน่อย ก็ต้องเป็นเพราะจือชิวนางหนูคนนี้มีส่วนทำให้เป็นแบบนี้อยู่แปดในสิบส่วน”

“หมายความว่าอย่างไร?” เหลิ่งชิงหลางถามด้วยความสงสัย

“ยกตัวอย่างเรื่องที่ท่านอ๋องเกลียดพระชายาจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องหย่ากับพระชายาไป ฮูหยินแค่ทำเพียงต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจปรนนิบัติท่านอ๋องให้ดีที่สุด ทำให้ท่านอ๋องเห็นว่าความดีของท่านแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ทำไมจะต้องไปทะเลาะกับพระชายาอ๋องซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเจ้าค่ะ?

พระชายาเป็นคนตัวเปล่าไม่มีอะไรต้องเสียสักอย่าง ยอมทุ่มหมดตัวไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว ถึงขนาดใช้มีดบีบบังคับท่านอ๋องยังกล้าทำออกมาได้ พวกเราไม่สามารถทำได้ นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว สุดท้ายก็เป็นเพียงการอยากอวดฉลาดแต่กลับกลายเป็นการปล่อยไก่แทน อีกทั้งยังเป็นการผลักท่านอ๋องกลับไปสู่อ้อมแขนของพระชายาอีก

ท่านลองคิดไตร่ตรองดูดีๆ หลายครั้งหลายครา นอกจากแม่หนูจือชิวคนนั้นที่ไปทำตัวโดดเด่นต่อหน้าท่านอ๋องแล้ว ท่านเคยได้อะไรมาบ้างหรือไม่เจ้าค่ะ? ใครจะไปรู้ว่าแม่หนูจือชิวกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่? ท่านถูกนางยุยงจนใจร้อนเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”

คำพูดของแม่จ้าวทำให้ตื่นออกจากภวังค์ฝัน ทำให้เหลิ่งชิงหลางเข้าใจขึ้นมาโดยฉับพลัน ไม่ว่าจือชิวจะมีเป้าหมายอะไร ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ดีเมื่อมองสิ่งที่ทำผ่านมาทั้งหลาย ตัวเองกลับไม่ได้ประโยชน์อะไรสักนิดจริงๆ อย่างที่ว่า

“ถ้าเช่นนั้นแม่จ้าวท่านเห็นว่าควรทำเยี่ยงไรดี?”

“พระชายายินดีที่จะป่วนอย่างไรก็เป็นเรื่องของพระนาง ท่านแค่สนใจเรื่องที่จะทำยังไงให้ท่านอ๋องชอบท่านก็พอเจ้าค่ะ ขอแค่ได้รับความโปรดปราน ไม่ว่าจะพูดอะไรทุกอย่างล้วนได้ทั้งสิ้น”

“แล้วจือชิวล่ะ?”

“เรื่องนี้บ่าวไม่กล้าพูดอะไรมาก ถ้าฮูหยินชอบให้นางรับใช้ ก็แค่หาใครสักคนให้นางแต่งด้วย หยุดยั้งความทะเยอทะยานของนางไปเจ้าค่ะ”

ในดวงตาของเหลิ่งชิงหลางแวบให้เห็นถึงแววตาอันโหดเหี้ยม ไม่ว่าสิ่งที่แม่จ้าวพูดมาจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ตาม จือชิวมีความทะเยอทะยานหรือไม่นั้น แต่ข้อเสนอของแม่จ้าวก็ไม่เลวเหมือนกัน ขอเพียงยกจือชิวให้แต่งานกับคนอื่นไป บางทีนางอาจจะทำตัวสงบเสงี่ยมตามหน้าที่ที่ควรทำ

เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนเฉลียวฉลาดเล็กน้อยจริงๆ อีกทั้งยังเป็นถึงมือขวาของตัวเอง ถ้าจะให้ทิ้งไปไม่ใช้งานแล้ว ก็น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละ

คำพูดของแม่จ้าวฟังหูไว้หูจะดีกว่า เรื่องนี้จะต้องจัดการให้ดีๆ ลำเอียงเพียงเล็กน้อย เจ้านายกับบ่าวก็อาจจะมีใจออกห่างกันได้ คนที่ได้ประโยชน์ก็มีแต่เหลิ่งชิงฮวน

ช่วงหลายวันมานี้เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกเป็นอิสระอย่างที่สุด ได้ยินแม่นมเตียวบอกว่า มู่หรงฉีนำทหารไปปราบโจรแล้ว

เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะถูกตัวเองทำให้โกรธขึ้นมาจริงๆ ถึงได้วิ่งไปฆ่าคนเพื่อระบายความโกรธอย่างงั้นหรือ? แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หลังจากฆ่าคนดับกระหาย แสดงบารมีมากพอแล้ว กลับมาก็คงเป็นปกติได้นิดหน่อย จะได้ไม่ต้องใช้ตัวเองเป็นเป้า และใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดผวาหวาดกลัวตลอดเวลา

แต่ว่าท่านอ๋องที่เป็นเทพแห่งสงครามกลับไปปราบโจรเสียได้ นี่มันจะเหมือนกับการขี่ช้างจับตั๊กแตนเกินไปหน่อยไหม แค่เพียงใช้ชื่อเสียงเรียงนามก็ทำให้พวกโจรทั้งหลายเกรงกลัวไม่กล้าหือยอมจำนนแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปหลายๆ วันแบบนี้ อีกทั้งเอาแต่ยุ่งวุ่นวายกับงานจนไม่กลับบ้านกลับช่อง? อย่าลืมสิภายในเรือนจื่อเถิง ยังมีหญิงที่งดงามหยาดเยิ้มรอร่วมหอด้วยอยู่หนึ่งท่าน

ได้ยินมาว่าจนถึงตอนนี้มู่หรงฉี ยังนอนคนเดียวอยู่ในห้องตำรา ไม่ได้ไปนอนร่วมหอเยี่ยงสามีภรรยากับเหลิ่งชิงหลาง เขาจะต้องไม่เชื่อฟังคำพูดของพระสนมฮุ่ยเฟยแน่นอน ถึงได้รักษาร่างกายของตัวเองให้บริสุทธิ์ดั่งหยก หรือจะรอขุนให้สมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยสำราญทีหลังหรือยังไง?

ช่างเป็นคนที่อดกลั้นได้ดีเสียจริง

เหล่าไท่จวินได้ยินว่ามู่หรงฉีไม่ได้อยู่ในจวน อาการป่วยของนางก็ดีขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงสั่งกำชับเหลิ่งชิงฮวนให้มาตรวจชีพจรทุกๆ ห้าหรือหกวันก็พอ ไม่ต้องวิ่งไปที่จวนทุกวัน

เหลิ่งชิงฮวนคุยกับโตวโตวและคนอื่นสัพเพเหระไปเรื่อยไม่หยุด เพราะว่าตัวเองไม่สะดวกออกจากจวน จึงได้ส่งหลิงกวนเอ๋อร์ให้ไปเยี่ยมพี่ชายสักครั้ง

แม่นมเตียวยังคงชอบทำหน้าตาบูดบึ้งและมีท่าทางเคร่งเครียดไม่ค่อยพูดจา แต่ก็เป็นคนทำอะไรจริงจังและมีความรับผิดชอบสูงมาก คุ้นเคยกับคนอื่นๆ และเรื่องต่างๆ ในจวนดี ดังนั้นเหลิ่งชิงฮวนจึงสามารถวางใจมอบหมายให้นางไปทำธุระที่ต้องออกไปจัดการด้านนอกจวนได้

โตวโตวเป็นสาวรับใช้ข้างกายให้กับตัวเอง คอยปรนนิบัติทั้งเรื่องกินและเรื่องการดำรงชีวิตอื่นๆ ส่วนเรื่องการจัดเก็บของใช้ในเรือน ทั้งการกวาดล้างเช็ดถูทำความสะอาดต่างๆ แน่นอนว่าทั้งหมดตกไปอยู่กับแม่บ้านหวังทั้งหมด ตั้งแต่สัญญาขายทาสตกมาอยู่ในมือของเหลิ่งชิงฮวน ก็เก็บหางและว่านอนสอนง่ายขึ้นมาก

วันเวลาอันสงบสุขผ่านไปเพียงแค่เจ็ดหรือแปดวันเท่านั้น มู่หรงฉีก็ขี่ม้ามาด้วยความเร็ว ดุจพายุพัดผ่านมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูหน้าจวน จากนั้นท่ามกลางเสียงคารวะอันประหลาดใจของเหล่าคนรับใช้ ตัวเขาก็พุ่งตรงมาที่ตำหนักฉาวเทียนด้วยความเร็วแล้วถีบบานประตูออก จากนั้นก็คว้าข้อมือของเหลิ่งชิงฮวน พร้อมกับดวงตาอันแดงก่ำ “ตามข้ามา!”

เหลิ่งชิงฮวนเพิ่งจะได้ใช้ชีวิตเอ้อระเหยอยู่แค่สองสามวัน ระดับการระมัดระวังตัวเองจึงลดลง อยู่ๆ เห็นเขาบุกเข้ามา อีกทั้งเกือบจะเตะประตูห้องปลิวออกไป ในใจก็เกิดสั่นกลัวขึ้นมา

แย่แล้วเจ้าหมอนี่ไปกินยาอะไรผิดมาอีกหรือเปล่านะ?

ข้อมือที่ถูกเขาจับครั้งก่อนบวมอยู่หลายวัน มือสั่นแม้กระทั่งตอนที่ถือชามซุป ตอนนี้เพิ่งจะบรรเทาลงไปหน่อย ถ้าผู้ชายคนนี้ออกแรงมากอีก เกรงว่าตัวเองจะต้องพิการอีกครั้ง

หลังจากได้เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งก่อนมา แทนที่จะต้องถูกคนอื่นรังแก ไหนเลยจะมีความสุขไปกว่าการได้รังแกคนอื่น?

ดังนั้นนางไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะพลิกข้อมือลงแล้วหยิบเข็มเงินออกมาสามเล่ม วางแผนที่จะวางยาชาเขาก่อน จากนั้นจะใช้วิธีต่างๆ นานเล่นงานเขา ค่อยๆ เล่นเป็นเพื่อนเขาจนกว่าจะพอใจ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา กลับเห็นมู่หรงฉีกำลังขมวดคิ้ว มองตัวเองด้วยใบหน้าจริงจัง นัยน์ตาคู่นั้นกลับเผยให้เห็นถึงสายตาที่อ้อนวอนขอร้องอยู่?

มือนางหยุดชะงักไปเล็กน้อย ไม่ได้แทงเข็มลงไป แต่กลับเจรจากันด้วยเหตุและผลก่อน จึงส่งเสียงกล่าวเตือน “หม่อมฉันจะนับถึงสอง ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้!”

“ไปกับข้า” มู่หรงฉีไม่ได้ปล่อยแต่อย่างใด แต่กลับทำเพียงผ่อนคลายแรงมือเล็กน้อย แต่ยังคงมีอาการสั่นเทาเบาๆ ที่ยากจะสังเกตเห็นได้ “ช่วยข้าช่วยเหลือคนคนหนึ่ง”

ข้อมือของชายผู้นี้ที่ถือคันธนูหนักนับร้อยกิโลไม่เคยหวาดหวั่น มั่นคงดุจเขาไท่ซานกลับมีข้อมือที่สั่นเทางั้นหรือ?

ทั้งๆ ที่เหลิ่งชิงฮวนรู้ดีว่าเขากำลังพูดกับตัวเองอย่างจริงจัง แต่ยังอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน “ทำไมหม่อมฉันจะต้องช่วยด้วย? ท่านไม่ใช่เคยบอกไว้เหรอว่า หม่อมฉันมันชั่วร้ายโหดเหี้ยม รู้เพียงวิธีที่จะทำร้ายผู้อื่น”

มู่หรงฉีเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด ทำเพียงมองนางด้วยดวงตาที่เป็นประกายลุกโชน “เขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว”

เกี่ยวอะไรกับข้ากันเล่า!

ท่านก็มีช่วงเวลาที่มาขอร้องข้าด้วยหรือ?

เหลิ่งชิงฮวนยิ้มอย่างเย็นชา “หม่อมฉันไม่ใช่เทพเจ้าต้าหลัว โปรดอภัยให้แก่หม่อมฉันที่ไร้ความสามารถด้วย...”

พูดยังไม่ทันจบ มู่หรงฉีก็ชิงลงมือก่อน เขาเพียงยกมือขึ้นมา นางก็ถูกสกัดจุดเรียบร้อยแล้ว ทั่วร่างกายชาไปหมด ขยับตัวไม่ได้สักนิด แม่งสิ ที่แท้การสกัดจุดในตำนานเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย เทียบกับเข็มยาชาของตัวเองแล้วได้ผลดีกว่าเป็นไหนๆ ช่วงเวลานั้น เหลิ่งชิงฮวนไม่ได้กังวลกับจุดจบของตัวเองแม้แต่น้อย กลับมีอารมณ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้

มู่หรงฉีปล่อยมือที่จับข้อมือนางออก แล้วย่อตัวลงมา กอดไปที่ขาของนางแล้วแบกร่างของนางทั้งร่างขึ้นมาไว้บนไหล่ ส่วนอีกมือยกกล่องใส่อาหารที่บรรจุไปด้วยยา ขึ้นมาและเอ่ยพูดเบา “ขออภัยด้วย!”

จากนั้นก้าวเท้ายาวๆ เดินออกไปข้างนอก

โตวโตวและคนอื่นๆ เฝ้าที่อยู่ภายในเรือน เมื่อเห็นฉากนี้เข้า ยังคิดอยู่เลยว่าคุณหนูของตัวเองทำให้ท่านอ๋องโมโหอีกแล้ว ท่านอ๋องกำลังจะเอาคุณหนูของตัวเองโยนออกไปเช่นนั้นหรือ?

นางตกใจกลัวจนสองขาอ่อนแรง แต่ยังคงมีความกล้าที่จะวิ่งตามออกไป ดึงแขนของเหลิ่งชิงฮวนเอาไว้ได้ทันควัน “คุณหนูอย่าได้กลัว ไม่ว่าท่านอ๋องจะทิ้งท่านไว้ที่ใด โตวโตวก็จะติดตามท่านไปด้วย”

มู่หรงฉีหันหน้ากลับมา จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย “ไสหัวไปซะ!”

เพิ่งจะพูดออกไปอย่างอาจหาญผดุงคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า แต่มือของโตวโตวผู้ซึ่งสาบานไว้ว่าจะติดตามไปจนตายได้สั่นเทาขึ้นเสียแล้ว นางปล่อยมือของเหลิ่งชิงฮวนออก ตกใจกลัวจนร่วงลงไปนั่งอยู่บนพื้น มองมู่หรงฉีที่แบกคุณหนูตัวเองจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา