ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 51

เหลิ่งชิงฮวนไม่สามารถขยับร่างกายได้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพูดของนางแต่อย่างใด นางเป็นคนฉลาดเฉลียวเข้าใจสถานการณ์ได้ดี ในใจได้ด่าทอไปถึงบรรพบุรุษของมู่หรงฉีนับพันครั้ง แต่ปากกล้าด่าเพียงเขาคนเดียว

“มู่หรงฉี ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ท่านจะพาข้าไปที่ใด?”

“ช่วยคน!” มู่หรงฉีเอ่ยพูดเพียงสองคำใส่เธออย่างเย็นชา

“มีใครที่ไหนขอร้องคนอื่นให้ช่วยแบบท่านอย่างนี้กันเล่า?”

“ไม่มี”

เอิ่ม...ยังจะพูดมาอย่างมีเหตุผลหน้าซื่ออีกเหรอ?

“ข้าไม่ช่วย! ไม่ช่วย! มู่หรงฉี ต่อให้ท่านคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนข้า ข้าก็จะไม่ช่วย มันน่าโมโหนัก”

มู่หรงฉีได้อุ้มนางออกมาจากประตูจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก้าวเท้าขึ้นเล็กน้อย ก็กระโดดตัวขึ้นไปคร่อมบนหลังม้า นำกล่องอาหารไว้แขวนไปบนตะขอตรงอานม้า และวางนางไว้บนหลังม้า และเมื่อสะบัดบังเหียนแตะลงไป ม้าอันสง่างามก็ก้าวกีบเท้าและวิ่งพุ่งตรงออกไปทันที

เหลิ่งชิงฮวนตื่นตระหนกทันที ท่าอย่างนี้นะเหรอ หัวทิ่มลงพื้น ท้องพาดวางอยู่บนอานม้าพอดี แล้วถ้าหากวิ่งออกไปทั้งอย่างนี้ นี่ไม่ใช่เป็นการเอาชีวิตตัวเองหรอกหรือ? มู่หรงฉีคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? เขาตั้งใจใช่ไหม?

นางกำลังคิดจะเอ่ยปากด่าทอ แต่พออ้าปากอาการคลื่นไส้ก็กำเริบ อาเจียนน้ำย่อยออกมา เกิดอาการแพ้ท้องขึ้นมาทันที บวกกับตรงส่วนหัวที่อยู่ในท่าดิ่งคว่ำเริ่มวิงเวียนขึ้นมา จึงอดทนไม่ไหวจกระอักกระอ่วนออกมาเป็นพักๆ

มู่หรงฉีชะงักไปเล็กน้อย ดึงบังเหียนม้าให้หยุดลง จากนั้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ทีหลังว่านางกำลังตั้งครรภ์อยู่

เหลิ่งชิงฮวนหอบแฮ่กๆ ต่อให้มู่หรงฉีจะคลายการสกัดจุดให้นางแล้ว แต่เกรงว่านางคงไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรแล้ว แต่ก็ยังคงปากแข็งอยู่ “มู่หรงฉี อย่าได้ปล่อยให้ข้ามีโอกาสเอาคืนเชียวนะ!”

มู่หรงฉียังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ยกมือขึ้นมาพยุงนางขึ้นมาจากหลังม้า ให้มานั่งอย่างมั่นคงอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง มือข้างหนึ่งโอบรอบเอวอันผอมเพรียวของนางเอาไว้ จากนั้นก็สั่นบังเหียนของม้าและวิ่งต่อไปด้วยความเร็วเหมือนสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน ควบอยู่บนหลังม้าอย่างบ้าคลั่ง

เหลิ่งชิงฮวนแค่อ้าปากลมเย็นๆ ก็อัดเข้ามาในท้อง จึงทำได้เพียงแค่หุบปาก อดกลั้นความโกรธเอาไว้ นางนั่งบนหลังม้าที่โคลงเคลงตลอดทางออกจากเมืองมาและตรงเข้าไปยังค่ายทหาร

มู่หรงฉีกระโดดตัวลงจากม้า และประคับประคองนางลงจากหลังม้าอย่างระมัดระวัง เมื่อเท้าของนางแตะลงบนพื้น ก็รู้สึกขาอ่อนฮวบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ มู่หรงฉีที่กำลังจะปล่อยมือออกก็ต้องรีบจับแน่นๆ ขึ้นอีกครั้งโดยการโอบรอบเอวของนางไว้ ให้นางได้เอนตัวพิงมาในอ้อมแขนของตัวเอง

เหลิ่งชิงฮวนพยายามเตือนตัวเอง บอกกับตัวเองว่าอย่าได้โกรธจนป่วยไปเพราะไม่มีใครมาแทนตัวเองได้ จะต้องทำจิตใจให้สงบ เราเป็นคนมีอารยธรรม อย่าได้ไปด่าทอบุพการีของคนอื่น

“พวกโจรถูกข้าบีบจนเป็นสุนัขจนตรอก เลยพยายามใช้ดินระเบิดทำให้รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดตายไปพร้อมกันๆ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอในค่ายทหารบอกว่าได้รับบาดเจ็บที่ม้ามจากแรงระเบิด ดังนั้นจึงหยุดเลือดให้หยุดไหลไม่ได้ เขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าในสนามรบมาหลายปีและเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าเคารพเขาดั่งพี่ชายคนหนึ่ง

ดังนั้นถือเสียว่าข้าขอร้องเจ้า ช่วยเขาเถอะ ขอเพียงเขาปลอดภัย เจ้าต้องการสิ่งใด ตบตีข้า ด่าว่าข้า หรือจะกรีดเลือดเนื้อข้า ก็ตามแต่ใจเจ้าเลย!”

น้ำเสียงของมู่หรงฉีนั้นถึงแม้จะฟังดูกึกก้องทรงพลัง แต่ก็แอบสั่นคลอและสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง ทุกคำพูดเหมือนกับกำลังกัดฟันและอัดอั้น อีกทั้งยังบีบเค้นออกจากซอกฟัน

เหลิ่งชิงฮวนไม่ได้มองไปที่สีหน้าเขา แต่ก็สามารถเดาออกได้ว่า กลัวจนดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง และกำลังกัดฟันอดทนอยู่

ชายผู้นี้เอาจริง เพื่อลูกน้องถึงได้ยอมมาขอร้องตัวเอง ยอมที่จะก้มศีรษะอันสูงส่ง ยอมขอร้องอ้อนวอนอย่างถ่อมตน

ความโกรธที่อัดแน่นอยู่ภายในของเหลิ่งชิงฮวนสลายหายไปในทันที การทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขา ทั้งบุญคุณทั้งความแค้นที่เกลียดกันถึงขั้นต้องกัดฟันไว้ ตอนนี้ไม่สำคัญอีกต่อไป

เมื่อสักครู่คำพูดที่พูดไปเหล่านั้นที่จริงก็แค่พูดแดกดันไปเพราะรู้สึกโกรธ ชีวิตเป็นสิ่งคำสัญ ในฐานะที่ตัวเองเป็นหมอคนหนึ่งจรรยาบรรณขั้นพื้นฐานของแพทย์ก็ยังมีอยู่

“ปล่อยหม่อมฉัน” นางพูดด้วยท่าทีนิ่งสงบ

มู่หรงฉีไม่รู้ว่านางรับปากหรือไม่รับปากกันแน่ จึงไม่ได้ปล่อยมือแต่อย่างใด

กลุ่มชายชาตรีทั้งหลายโผล่พรวดออกมา พึ่บพั่บ จากในค่ายทหาร ทุกคนล้วนมีดวงตาแดงก่ำและสีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เมื่อเห็นมู่หรงฉีกับเหลิ่งชิงฮวน มาถึงก็เหมือนได้พบกับผู้เปลี่ยนชาตะชีวิตก็ไม่ปาน กระโจนเข้าไปคุกเข่าลงด้วยขาข้างเดียว และยกมือขึ้นคารวะไปที่เหลิ่งชิงฮวน จากนั้นก็เอ่ยพูดเป็นเสียงเดียวกัน

“ขอร้องพระชายาอ๋องได้โปรดช่วยเหลือรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วยเถอะ!”

กลุ่มชายชาตรีที่หยาบกระด้างส่งเสียงออกมาเสียงดัง แม้ว่าจะมีเสียงที่แหบแห้งกันทั้งหมด แต่ก็ทำให้เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาไม่น้อย ทำให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเลือดที่คุ้นเคยกำลังไหลเวียนขึ้นมาอย่างฮึกเหิม พลุกพล่านขึ้นมาทันที

นางเคยผ่านการฝึกทหารพิเศษในค่ายทหารมาปีกว่าๆ ดังนั้นย่อมเข้าใจมิตรภาพของการผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแบบนี้ดี จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะซาบซึ้งตามไปด้วย

มู่หรงฉีถามด้วยความวิตก “รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา