ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 52

สรุปบท ตอนที่ 52 เป็นเด็กดี อย่าขยับ: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา

อ่านสรุป ตอนที่ 52 เป็นเด็กดี อย่าขยับ จาก ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา โดย เฉลิมพล

บทที่ ตอนที่ 52 เป็นเด็กดี อย่าขยับ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยาย โรแมนติค ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย เฉลิมพล อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตัวเองเป็นถึงท่านอ๋องคนหนึ่ง แต่กลับถูกผู้หญิงคนนี้ทำให้โมโหจนต้องออกจากจวนอ๋องมา และวิ่งมาที่ค่ายทหารเพื่อระบายอารมณ์โกรธโดยการออกไปปราบปรามกลุ่มโจรที่กำลังออกมาปล้นชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องอัดอั้นจนเป็นบ้าตายไปเป็นแน่ ใครจะไปรู้ว่าเวลานี้จะมีคนมาชนปลายหอกของเขาเข้าอย่างจัง

มีเหตุการณ์ตายของผู้เฒ่าหัวหน้าหอกระบี่ที่เป็นรู้จักในยุทธภพ ภายในหอไม่มีใครทราบถึงเหตุที่เกิดการขัดแย้งทางผลประโยชน์กันขึ้น มีคนบางคนแยกพรรคแยกพวก พาคนส่วนหนึ่งออกไปจากหอกระบี่เดิม แล้วออกไปตั้งกลุ่มใหม่ จากนั้นก็เข้าปล้นชาวบ้านใกล้ๆ เมืองหลวง ทำเรื่องชั่วร้ายทุกสิ่งทุกอย่าง

มู่หรงฉีพาพรรคพวกตามไล่ล่าและล้อมเพื่อตามจับ ฆ่าฝ่ายตรงข้ามจนพ่ายแพ้ยับเยิน รู้สึกสบายอกสบายใจมันมืออย่างมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่คนเหล่านี้แตกต่างจากพวกโจรทั่วไป เป็นพวกมีความสามารถในตัว สุดท้ายเมื่อถูกบีบจนตรอก ถึงได้ลงมือทำร้ายรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด

หมอในกองทัพหมดหนทางที่จะรักษาและพูดอย่างมั่นใจว่าแม้แต่หมอหลวงในวังก็ไร้ซึ่งความสามารถนั้น

ท่ามกลางเสียงอันสิ้นหวังและโศกเศร้า อยู่ๆ เขาก็นึกถึงเหลิ่งชิงฮวนขึ้นมา

เสด็จย่าของตัวเองกับแขกที่ได้รับพิษจากปลาปักเป้าในจวนท่านเคานต์ และยังมีขันทีสี่ในวังที่ถูกตัดสินให้ตายไปโดยหมอหลวง ล้วนปลอดภัยดีภายใต้เงื้อมมือของผู้หญิงคนนี้

เขาสงสัยในทักษะทางการแพทย์ของนางมาโดยตลอด คิดว่าต้องมาจากพวกสำนักเถื่อน นางซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยได้ออกจากบ้านไปไหนเลย ไหนเลยจะไปรู้ทักษะทางการแพทย์ที่ถูกต้องได้อย่างไร? แต่ในเวลานี้เขาดันคิดถึงนางขึ้นมาเสียได้

ในใจมีความหวังสุดท้ายขึ้นมาริบหรี่ เขาพุ่งตัวคร่อมม้าและตรงกลับไปที่จวนอ๋อง ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าการตัดสินใจของตัวเองนั่นถูกต้องแล้ว เท่าที่เห็นนางมีท่าที่นิ่งสงบเตรียมพร้อมมาอย่างดิบดี ดูออกว่าอาการบาดเจ็บของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดในสายตาของนางเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

นางไปเอาความรู้มาจากที่ไหน? ไปเอาทักษะการแพทย์มาจากไหน? เหลิ่งชิงหลางที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลายังยืนยันอย่างชัดเจนว่านางไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่วกับวิชาการแพทย์

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และตึงเครียด ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงช่วงเที่ยงวัน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาจากภายในกระโจมทหาร

คนที่กำลังจะตายคนหนึ่งสามารถอยู่รอดได้ถึงสองชั่วยามแบบนี้ ได้นำพาความหวังมาสู่ทุกคนแล้ว ค่ายทหารนั้นเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงนกเสียงกาใดๆ ทุกคนต่างเฝ้ารอข่าวดีว่าปลอดภัยแล้วจากเหลิ่งชิงฮวน

ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน มีผู้ชายที่อยู่ในค่ายทหารเดินออกมาจากข้างใน แม้ว่าไม่สามารถเก็บซ่อนความเหนื่อยล้าไปได้ แต่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและมีความสุข ตะโกนโห่ร้องบอกทุกคนอย่างดีใจ

“น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! ผ่าหน้าท้องแล้วตัดม้ามออกมา คนเจ็บยังคงปลอดภัยเหมือนเดิม! ตาแก่อย่างข้าใช้ชีวิตมาหลายสิบปี นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทักษะการแพทย์ที่ล้ำเลิศและมหัศจรรย์เช่นนี้”

ทุกคนต่างแห่เข้ามารุมล้อมราวกับกระแสน้ำไหล “นายพลอวี๋เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

ชายคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอ “ไม่เป็นอะไรแล้ว พระชายาบอกว่าขณะนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังคงต้องเฝ้าสังเกตอาการต่อไปเรื่อยๆ เมื่อสัญญาณชีพจรกลับมาเป็นปกติและน้ำที่ค้างในปอดถูกดูดออกหมด และยังมีเกล็ดเลือดอะไรที่ต้องลดลงอีก ถึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ”

ไม่มีใครเข้าใจคำศัพท์ทางวิชาชีพเหล่านี้ รู้เพียงแค่ว่ารองผู้บัญชาการทหารสูงสุดตอนนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว และมีความหวังว่าจะมีชีวิตรอด พวกเขาทั้งหมดกำหมัดแน่นอย่างตื่นเต้น ไม่รู้ว่าจะแสดงออกถึงความตื่นเต้นในใจที่มีของตัวเองอย่างไร

มู่หรงฉีแหวกม่านประตูเดินเข้าไป รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบสงบ ท่อนบนครึ่งตัวมีผ้าที่สะอาดๆ คลุมเอาไว้อยู่ ดวงตาปิดแน่น ยังคงไม่ได้สติ บริเวณไหปลาร้ามีท่อใสๆ เสียบอยู่ และมีถุงน้ำใสๆ ห้อยอยู่ และน้ำใสๆ นั้นก็หยดลงไปในท่อทีละหยด

เหลิ่งชิงฮวนนั่งแหมะอยู่บนพื้นและเอนตัวพิงไปที่ขาเตียง เหงื่อออกเปียกไปทั่วทั้งร่าง ผมเปียกๆ เกาะอยู่ที่หน้าผาก ใบหน้าซีดขาว ปลายคางของนางเรียวแหลม เมื่อเห็นดังนั้นมู่หรงฉีถึงได้ตระหนักว่า หลายวันที่ไม่ได้พบกัน ดูเหมือนนางจะผอมลงไปเยอะมาก ใบหน้าเล็กมากใหญ่ยังไม่เท่าฝ่ามือเลย

นางหายใจหอบๆ ขนตาสั่นไหวเบาๆ ดูแล้วเหมือนจะเหนื่อยมาก ราวกับว่าร่างกายกำลังเสื่อมสภาพลงก็ไม่ปาน

ระหว่างทางที่มาที่นี่ นางอาเจียนอย่างหนัก น่าจะเป็นเพราะอาการแพ้ท้องกำเริบ อีกทั้งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายอ่อนแอมากที่สุด แต่นางกลับยืนหยัดตั้งอกตั้งใจ อดทนต่อความเหนื่อยได้นานขนาดนี้ นางทำอะไรบ้างตนเองก็หารู้ไม่ แต่สามารถจินตนาการได้ว่าคงเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากมาก ถึงขนาดไม่สามารถขยับเปลือกตาให้กะพริบได้

คนภายในห้องต่างถอนตัวออกไปอย่างรู้ทัน

มู่หรงฉีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ และก้มตัวลงมายื่นมือไปหานาง อยากจะอุ้มนางขึ้นมาและพาไปพักผ่อนที่กระโจมข้างๆ

เหลิ่งชิงฮวนมีความระแวดระวังตัวเองสูงมาก ลืมตาขึ้นมาในทันที และมองเขาด้วยความระแวดระวังตัว นางมีท่าทีที่เย็นชาและตั้งแง่เป็นปฏิปักษ์กับผู้อื่นทุกเมื่อ “ท่านอยากทำอะไร?”

มือของเขาแข็งค้างกลางอากาศ จากนั้นก็ดึงกลับไป “เจ้าสบายดีใช่ไหม?”

เหลิ่งชิงฮวนหลับตาลงอีกครั้ง “ไม่เป็นไร”

“ขอบคุณเจ้ามาก ข้าขอเป็นตัวแทนของกองกำลังสามเหล่าทัพในค่ายทหาร”

“ช่างเถอะ” เหลิ่งชิงฮวนพูดอย่างเย็นชา “ขอเพียงท่านยังจำสิ่งที่ตัวท่านรับปากเอาไว้ได้ก็พอ รอให้นายพลอวี๋พ้นขีดอันตรายแล้ว ท่านก็คิดหาวิธีปล่อยหม่อมฉันออกไปเถอะ”

“เจ้าต้องพักผ่อน ตอนนี้พวกเราอย่ามาคุยเรื่องนี้ดีหรือไม่?”

เหลิ่งชิงฮวนยกเปลือกตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรงและพยายามลุกขึ้นมา ปรากฏว่าพอลุกขึ้นมายืนก็วิงเวียนศีรษะ ร่างกายอ่อนแรง ทรุดฮวบลงไป

ยาน้ำใกล้จะถึงก้นถุงแล้ว เมื่อนายทหารที่รับผิดชอบเฝ้าดูรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเห็นนางก็รีบลุกขึ้นมายืนทันที และเอ่ยบอกนางอย่างตื่นเต้น “ท่านนายพลอวี๋เพิ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อสักครู่ แต่ยังไม่ค่อยจะมีสติเสียเท่าไร เพียงแค่มองท่านอ๋องเล็กน้อย ก่อนที่จะหมดสติไปอีกครั้ง”

นี่เป็นเรื่องปกติ เป็นปรากฏการณ์ป้องกันตัวเองของผู้ป่วย เหลิ่งชิงฮวนตรวจสอบอาการของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกครั้ง ไม่พบเจอปัญหาอะไร

ม่านตรงประตูถูกแหวกออก มู่หรงฉีเดินเข้ามา ด้านหลังมีองครักษ์ถือถาดหนึ่งถาดอยู่ บนถาดที่มีโจ๊กร้อนๆ ที่ส่งกลิ่นหอมของหมูสับฟุ้งกระจายไปทั่ว

องครักษ์ก้าวขึ้นไปข้างหน้า และวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะข้างๆ เหลิ่งชิงฮวน

“กินอะไรสักหน่อยเถอะ” มู่หรงฉีเอ่ยพูดเบาๆ “ข้าได้สั่งให้คนกลับจวนไปเอาโสม เห็นหลินจือและอาหารเสริมอื่นๆ ไปตุ๋นเป็นโจ๊กให้เจ้าและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด”

“หลายวันนี้เขาไม่สามารถกินอาหารได้ แม้แต่น้ำก็ให้ไม่ได้เช่นกัน” เหลิ่งชิงฮวนรีบสั่งการอย่างร้อนรน “ต่อให้กระหายน้ำ ก็ทำได้เพียงแค่เอาน้ำแตะริมฝีปากเท่านั้น”

“แบบนั้นเขาจะไม่อดตายทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ?”

“น้ำนี้สามารถเพิ่มพลังให้ร่างกายและมีสารอาหารพื้นฐานที่เขาควรได้รับ ไม่กินอาหารสักครึ่งเดือนก็ไม่เป็นไร” เหลิ่งชิงฮวนพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ดังนั้นการดูแลปฏิบัติทั้งหมดจะต้องทำตามคำแนะนำของข้าอย่างเคร่งครัด จะต้องไม่เกิดอะไรที่ผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว”

อ๋องฉีที่ถูกตำหนิพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าเถียงกลับไป “เข้าใจแล้ว”

จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองถุงน้ำที่หยอดให้รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และลองเอ่ยถาม “ต้องส่งคนกลับจวนเพื่อไปเอายามาเพิ่มอีกหน่อยหรือไม่?”

“ไม่ต้องหรอก”

“เมื่อก่อนไม่เคยเห็นยาแบบนี้มาก่อน ข้างบนถุงยังมีอักษรแปลกๆ อยู่บนนั้นด้วย”

เหลิ่งชิงฮวนเงยหน้าขึ้นมา “ท่านอ๋องกำลังสงสัยหม่อมฉันหรือ?”

มู่หรงฉีมองไปที่ใบหน้าของนางด้วยสายตาที่มีความหมายแปลกๆ ก่อนจะเอ่ยพูดติดตลกขึ้นมา “ไม่ใช่ ข้าแค่สงสัยว่าเจ้าถูกเทพเจ้าส่งลงมาหรือเปล่า”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา