ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 490

การสอนของเสด็จปู่ค่อนข้างลำเลียง แต่เสี่ยวอวินเช่อชอบเรื่องแบบนี้ แค่สอนก็ทำเป็น ลูกตาสีดำกลิ้งกลอกไปมา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าความรู้เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ ถึงจะรู้สึกเสียใจว่าที่เรียนมามันน้อยเกินไป

ตำแหน่งของนางสนมเหล่านี้ มีตัวอักษรที่ไม่คุ้นตาอยู่มากมาย เกินขอบเขตความรู้ของเสี่ยวอวินเช่อ เพ่งมองซ้ายขาวอย่างละเอียดก็ไม่รู้จัก

หลังจากกลุ้มใจอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เห็นคำที่คุ้นตา นั่นก็คือ ‘ฮุ่ย’ ของคำว่า ‘ฮุ่ยเฟย’ เหลิ่งชิงฮวนเคยสอนเป็นพิเศษ

ทันทีที่ยกมือก็หยิบป้ายหยกของพระสนมฮุ่ยเฟยขึ้นมา

ฮ่องเต้ชำเลืองมอง ไอหยา ทำไมหลานชายของตนถึงเฉลียวฉลาดเช่นนี้ นี่เป็นความสัมพันธ์ทางสายเลือด ตีกระดูกหักยังเชื่อมด้วยเอ็น ความรักของปู่ย่าและหลานโค่นไม่ลงจริงๆ!

พูดแล้วไม่คืนคำ ถ่ายทอดคำสั่งลงไป พระสนมฮุ่ยเฟยตื่นเต้น คิดว่าในที่สุดฮ่องเต้ก็พบคุณธรรม จึงคิดถึงตนเองขึ้นมา นานแค่ไหนแล้วที่สองสามีภรรยาไม่ได้นอนเตียงเดียวกัน เกรงว่าป้ายหยกของตนเองคงจะฝุ่นร่วงเสียแล้ว

แรกเริ่มนางอาศัยบารมีของจวนกั๋วกง ต่อมาอาศัยบารมีของลูกชาย ทรงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาโดยตลอด ห้าปีมานี้ถูกส่งเข้าไปในตำหนักเย็น นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้อาศัยบารมีของหลานชาย ดูเหมือนว่าเรื่องราวสิ้นหวังจะเกิดการพลิกผันแล้ว ตื่นเต้นจนน้ำตาคลอเบ้า

แต่งเนื้อแต่งตัว และมาถึงห้องนอนของฮ่องเต้อย่างดีอกดีใจ เสี่ยวอวินเช่อกำลังนั่งเปลือยตูดอยู่บนเตียงมังกร ตั้งตารอสาวงามอย่างกระตือรือร้น ใครจะรู้ว่าคนที่เข้ามาจะเป็นคุณย่าที่แก่กว่าท่านแม่ของตนเองเสียอีก รู้สึกผิดหวังทันที

เฮ้อ ดูเหมือนว่าเสด็จปู่จะสายตาไม่ค่อยดี อำนาจของฮ่องเต้ไร้ประโยชน์เสียจริง

พอไม่น่าสนใจ จึงเอนกายลงนอน ออกแรงดึงผ้าห่ม หลับตาลง และหลับทันที

เมื่อครู่พระสนมฮุ่ยเฟยร้องไห้หนักอย่างมีความสุข ยังไม่ได้เจอหลานของตนเอง ตอนนี้เจอแล้ว ความรู้สึกนับร้อยกลับประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด เอาผ้าเช็ดหน้าบังหน้า และร้องไห้คร่ำครวญ

ห้าปีมานี้ฮ่องเต้ไม่ได้มองพระสนมฮุ่ยเฟยโดยปราศจากอคติเลย วันนี้มองนางอย่างละเอียด จึงพบว่าพระสนมฮุ่ยเฟยก็ชราลงแล้ว จอนผมเป็นสีขาวครึ่งหนึ่ง หลายปีมานี้ใช้ชีวิตอย่างทรมาน จู่ๆ หัวใจแข็งดั่งหินก็เกิดเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย และตบไหล่นางเบาๆ เป็นการปลอบใจ

ความน้อยใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาของพระสนมฮุ่ยเฟย ไหลทะลักออกไปเหมือนกับเปิดประตูกักน้ำท่วม โอบกอดฮ่องเต้ และร้องไห้อย่างหนัก

เหมือนช่วงเวลาแสนงดงามในตอนนั้น

เช้าวันถัดมา เหล่าขุนนางรวมตัวกัน ไม่มีผู้ใดพูดคุยเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองเลย ทุกคนล้วนคุยเรื่องท่านฉีอ๋องกับหลานชายฮ่องเต้กลับมาพบกันบนถนนใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

“เจ้าบอกว่าจู่ๆ เด็กน้อยที่ร่วงลงมาจากสวรรค์ พูดมั่วซั่วว่าเป็นลูกของท่านฉีอ๋อง ท่านฉีอ๋องก็เชื่อ”

“ประเด็นสำคัญคือฝ่าบาทก็เชื่อเช่นกัน ซ้ำยังส่งกองกำลังทหารไปหนานจ้าวเพราะเรื่องนี้ ก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างสองแคว้น”

“ข้าคิดว่า พวกเราควรเสนอฝ่าบาท ให้วินิจฉัยเลือดระบุสัมพันธ์ทางเครือญาติ”

“ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่แค่เรื่องภายในครอบครัวของท่านฉีอ๋อง เรื่องราวเกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมือง เชื้อพระวงค์ จำเป็นต้องให้คำชี้แจงที่ชัดเจนแก่พวกเรา”

“จริงด้วย จะรอฟังคำพูดของพระชายาฉีเพียงด้านเดียวไม่ได้”

……

คนจำนวนมากเห็นพ้องต้องกัน วันนี้ต้องช่วยกันทักท้วงฝ่าบาทให้ตรวจสอบความเป็นมาของหลานชายตัวน้อยคนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นแมวดาวสับเปลี่ยนองค์ชาย

คนกลุ่มหนึ่งแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม เหมือนกับตนเองถูกภรรยาสวมเขาอย่างไรอย่างนั้น

ผู้ตรวจการเหยียนมีชื่อเสียงในด้านอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น อีกทั้งยังแข็งแกร่ง ซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอใคร และไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ จึงมีคนอยากให้เขาเป็นผู้นำ

“ข้าคิดว่า เรื่องนี้จะคอยมองอยู่ห่างๆ แล้วให้ฝ่าบาทโดนเหลิ่งชิงฮวนคนนั้นหลอกลวงมิได้ ในฐานะขุนนางใหญ่ของราชสำนัก กินเงินเดือนของฮ่องเต้ ต้องแบ่งเบาความทุกข์ของท่าน ต้องอธิบายต้นสายปลายเหตุอย่างชัดเจน พยายามปกป้องสิทธิของตนเองด้วยเหตุผล ผู้ตรวจการคิดเห็นอย่างไร”

ผู้ตรวจการเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ หรี่ตาลง หยิบหัวไชเท้าดองเกลือออกมาโดยไม่พูดไม่จา และกัด ‘กร๊อบ’ และถุยออกมา “ไร้สาระจริงๆ”

มีคนแอบดึงชายเสื้อคนคนนั้นจากด้านข้าง “เจ้าไม่เปิดหูเปิดตาเลย ปีนั้นพระชายาฉีเคยช่วยชีวิตผู้ตรวจการเหยียนเอาไว้ เจ้าให้เขากล่าวหาความผิด เขากำลังด่าว่าเจ้ากินหัวไชเท้าแล้วยังพะว้าพะวังอยู่นะ”

คนคนนั้นเพิ่งจะนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ห้าปีก่อน หากไม่ได้พระชายาฉี ผู้ตรวจการเหยียนคงดื่มซุปทองคำเข้าไปแล้ว เขาหดคอลง และไม่พูดอะไรอีก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา