ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 499

“แต่ต่อมา ต่อมาทำไมข้าถึงไม่ได้ยินข่าวอะไรเกี่ยวกับจื่นอวี๋เลยล่ะ ข้าคิดว่านางอยู่ที่มั่วเป่ย”

“ระหว่างเดินทางจิ่นอวี๋ได้วางยาสลบองค์ชายอันต๋าและกลับมาที่ฉางอัน แต่ตอนที่นางหนีอยู่นั้นเองนางก็ถูกขอทานย่ำยีและเสียความบริสุทธิ์ไป เนื่องจากเกี่ยวกพันกับแคว้นชาติฮ่องเต้จึงมีคำสั่งไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป คนนอกย่อมไม่รู้เรื่อง”

เหลิ่งชิงฮวนจ้องมองไปที่เขา “งั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องบุญคุณความแค้นของพวกเราดีนัก”

ชายในชุดคลุมมองเธออย่างค้นหาจากนั้นเขาก็หันหลังและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและห่างเหิน “ได้ยินคนอื่นพูดมาน่ะ”

“เจ้าเป็นใครกันแน่ ข้ารู้จักเจ้าใช่ไหม” เหลิ่งชิงฮวนรีบต้อนถาม

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่เขากลับเขย่งปลายเท้าแล้วบินขึ้นไป และหายตัวไปในทันที

แผ่นหลังของเขาดูเปล่าเปลี่ยว ความรู้สึกเสียใจแบบนั้นราวกับเป็นความโดดเดี่ยวหลังจากที่ถูกทิ้งและเศร้าโศก เธอรู้สึกว่ามันคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

คนในชุดคลุมหน้าจากไปนานแล้ว เหลิ่งชิงฮวนยังรู้กสึกมึนงงอยู่ ในใจของเธอมีความรู้สึกหลากหลายปนเปกัน เธอคิดมากไปแล้ว

ข่าวที่อีกฝ่ายนำนานนั้นน่าตกใจจนทำให้เธอไม่สามารถย่อยมันได้อย่างง่ายๆ

เธอทำผิดต่อมู่หรงฉี เธอทำให้เขาลำบากใจจนทำให้ตลอดห้าปีมานี้เขาแบกรับความผิดมากเกินไป ทั้งความรู้สึกผิดและความคับข้องใจ

ตัวเธอเองห้าปีมานี้เธอทนมาได้อย่างไร เขาจะต้องลำบากกว่าเธอแน่ ทั้งยากกว่าและทั้งต้องอดทนยิ่งกว่า

เรื่องนี้ไม่มีใครผิดหรือถูก ตัวเธอเองก็ถูกบังคับจนไม่มีทางเลือก มู่หรงฉีเองก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถ้าจะผิดล่ะก็ก็ผิดที่คนสร้างเรื่องขึ้นมา ส่วนคนที่เป็นผู้เสียหายคือเธอกับมู่หรงฉี

ยังดีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป

ขอเพียงแค่มู่หรงฉียังเต็มใจที่จะอ้าแขนรับเธอเอาไว้ เธอเองก็เต็มใจพร้อมที่จะตายไปกับเขา และโถมเข้าสู่อ้อมแขนของเขาอย่างไม่สนใจอะไร และตั้งแต่นี้ไปจะไม่แยกออกจากเขาอีกไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ใบหน้าของเธอเย็นชาขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เธอยกมือขึ้นและพบว่ามีน้ำตานองอยู่เต็มใบหน้าของเธอ

แสงสว่างในยามเช้าค่อยๆแทรกผ่านความมืดมิดทีละน้อย ฟากฟ้าทางทิศตะวันออกสว่างขึ้นในไม่นาน

ประตูเมืองปี้สุ่ยน่าจะใกล้เปิดแล้ว นั่นคือทางที่เธอกลับเมืองฉางอัน กลับไปยังเส้นทางที่อยู่ในอ้อมแขนของมู่หรงฉี

น่าเยี่ยไป๋กับน่าจาอี๋นั่วในเวลานี้นั้นไม่มีความสามารถที่จะเอาผิดกับเธอ เนื่องจากภายในพระราชวังมีนักฆ่าลอบเข้ามาอีกทั้งนักฆ่าคนนี้ยังวางเพลิงที่ห้องแมลงกู่ของเธอ

ห้องนี้เป็นความพยายามหลายปีของน่าจาอี๋นั่ว ใครจะรู้กันเล่าว่าจะมีคนลอบเข้ามา คนคนนี้เข้ามาในปพระราชวังโดยที่ไม่มีใครรู้ได้อย่างไรกัน พอได้ของที่ต้องการแล้วก็หนีออกไปงั้นหรือ หรือว่าเขาจะมีเส้นสายอยู่ภายในวังกัน

น่าจาอี๋นั่วเกลียดชังเสียจนขบกรามแน่น และนำองครักษ์ออกไปด้วยตัวเองเพื่อไปจับนักฆ่านั่นกลับมา

เพียงพริบตาเดียวเมืองปี้สุ่ยก็คึกคักขึ้นทันที

ได้ยินเพียงแต่เสียงฆ่าฟันกันดังมาจากทุกทาง พวกเขาไปมาหลายทางในเมืองแล้วก็ไม่เห็นนักฆ่าชุดดำปรากฏตัว มีคนใช้จังหวะนี้ในการจุดชนวนปัญหา น่าจาอี๋นั่ววิ่งไปทั่วเมืองโดยไม่สนใจอะไร และไม่รู้ว่าทางไหนกันแน่ที่นักฆ่าอยู่

หรือว่าจะเป็นโฉวซือเส่ากับเสิ่นหลินเฟิงกัน

นี่เป็นความคิดแรกในหัวของน่าจาอี๋นั่ว

ทั้งสองคนมาถึงเมืองปี้สุ่ยแล้ว เพียงแต่ทำไมพวกเขาถึงไม่เข้าวังไปช่วยเหลิ่งชิงฮวน แต่กลับทำตัวใหญ่โตอยู่ในเมืองกัน

ล่อเสือออกจากถ้ำ?

น่าจาอี๋นั่วรู้สึกตกใจ นักฆ่าเหล่านี้วางเพลิงไปทั่วและตามรอยไม่ได้ หรือว่าก็เพื่อล่อเธอออกจากวังกัน

เพื่อช่วยเหลิ่งชิงฮวน?

น่าจาอี๋นั่วลนลาน เรื่องสำคัญแบบนี้พวกเขากลับไม่ได้ข่าวนี่มันไม่แปลกหรือ หรือจะมีสายลับอยู่ในแคว้นหนานจ้าวกัน ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุบังเอิญอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้หรือ

ความล่าช้าของรายงานทางทหารสามารถตัดสินการแพ้ชนะในการรบได้ อีกอย่างยังช้าถึงสองวัน! กองทัพแทบจะมาถึงที่เมืองอยู่แล้วแต่ตัวพวกเขากลับไม่รู้เรื่องเลย คาดว่าจะส่งกองกำลังเสริมมาก็ช้าเกินไปเสียแล้ว

ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของมู่หรงฉีจะได้มาจากการช่วยเหลือของฮ่องเต้เฒ่าและช่วยเขาขึ้นมา แต่ว่ามู่หรงฉีที่อยู่ในสนามรบเองก็มีความสามารถ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุยโวขึ้นมา

เขาฝึกทหารม้าขึ้นมาและต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา พวกเขาเหล่านั้นเหมือนกับกระดูกที่เคี้ยวได้ยาก

อีกอย่างหนึ่งที่ด้านหลังยังมีทหารอยู่ด้านหลังของพวกเขาอีกว่าแสนนาย

นี่ไม่ใช่แค่ความคิดของมู่หรงฉีเพียงคนเดียว อย่าไรเสียถึงแม้ว่าเขาจะรับผิดชอบกองทัพก็ยังไม่ได้มีความสามารถมากขนาดนั้นที่จะเปิดฉากสงครามโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต

เหลิ่งชิงฮวนตัวเล็กๆคนเดียวสามารถทำให้ราชวงศ์ฉางอันเคลื่อนไหวทหารม้ากว่าแสนนาย นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยสักนิด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เหลิ่งชิงฮวนหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาและไม่รู้ว่านางไม่อยู่ที่ไหน ตัวเขาจะชดใช้อะไรให้กับแคว้นฉางอันกัน ต่อให้ทหารม้าของมู่หรงฉีเข้ามาที่เมืองปี้วสุ่ยแล้วก็จริง ตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้

เวลาไม่ค่อยท่า สองพี่น้องรีบเคลื่อนกำลังพลและสั่งคนให้ไปเลื่อนก้อนหินขนาดใหญ่มารวมถึงไม้และอุปกรณ์ป้องกันเมืองอื่นๆ ความตื่นตระหนกที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมาพร้อมกับชื่อเสียงของมู่หรงฉี ข่าวคราวแพร่เข้าไปในเมืองปี้สุ่ยอย่างรวดเร็ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหลิ่งชิงฮวนที่คิดจะหนีออกจากเมืองก็ยิ่งทำได้ยากขึ้นไปอีก

เมื่อยามเช้ามาถึงแสงสว่างสาดส่องผ่านกลุ่มก้อนเมฆหนา แสงสีทองของยามเช้าอาบไล้ไปทั่วเมืองปี้สุ่ย เสียงฝีเท้าของม้าดังมาแต่ไกลราวกับกำลังรัวกลองเหล็ก ทหารม้าหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของอ๋องฉีมาถึงแล้วทำให้ฝุ่นควันตลบไปทั่วทั้งเมือง

น่าจาอี๋นั่วขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์และหยิบกล้องส่องทางไกลออกมากก็เห็นเพียงเกราะสีเงินสะท้อนกับแสงแดดจนทำให้คนที่มองเห็นไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้น ปลายหอกแหลมเรียงรายกันและแผ่นกลิ่นอายการฆ่าฟันอันเยียบเย็นออกมาเช่นกัน

คนที่เป็นผู้นำกำลังขี่อยู่บนม้าตัวใหญ่และอยู่ในชุดคลุมที่เปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่กลับไม่สามารถซ่อนความสง่างามและเย็นชาของเขาเอาไว้ได้ กลิ่นอายการฆ่าฟันถูกแผ่ออกมาจนทำให้ทหารนับแสนนับพันต้องหน้าซีดและกลายเป็นตัวประกอบไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมสีขาวที่จอนของเขา ท่ามกลางแสงอาทิตย์ในยามเช้าและสายลมที่พัดผ่านมันได้กระทบเข้ากับดาบที่อยู่ในมือของเขา เขาดูราวกับเทพเจ้าที่ได้ลงมาจุติในโลกมนุษย์และนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ เหมือนกับว่ามีเขาเพียงคนเดียวทหารนับหมื่นนับแสนนายก็ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้และบีบให้ศัตรูต้องล่าถอยไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา