ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 500

น่าจาอี๋นั่วกำหอกในมือของเธอแน่น เธอหันไปพูดกับน่าเยี่ยไป๋เสียงเบาว่า “เป็นอ๋องฉี”

นั่นคือมู่หรงฉีจริงๆ

เขาเองก็มองเห็นน่าจาอี๋นั่วกับน่าเยี่ยไป๋ที่อยู่บนกำแพงเมืองเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพบกันมาก่อนแต่เมื่อเห็นเขาก็รู้ว่าทั้งสองคนคือรัชทายาทกับองค์หญิงแคว้นหนานจ้าวอย่างไม่ต้องสงสัย

มือข้างหนึ่งเขากุมบังเหียนม้าเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขาค่อยๆยกขึ้นชูดาบยาวที่อยู่ในมือด้วยท่าทางที่ห้าวหาญ

“ส่งตัวเหลิ่งชิงฮวนมา ไม่อย่างนั้นข้าจะเข้าไปในหนานจ้าวแล้วใช้เลือดล้างพระราชวังของเจ้าเสีย”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่นเป็นอย่างมาก เขาเค้นคำพูดออกมาทีละคำอย่างลำบากในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความห้าวหาญของชายชาตรีที่เปล่งออกมาราวกับกำลังให้สัตย์สาบานอยู่ ซึ่งในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้าจนทำให้คนฟังรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก

คำพูดนี้มู่หรงฉีพูดมันออกมาอย่างยากลำบาก ลำคอของเขาแห้งผาก แต่ละคำที่เขาพูดออกมานั้นราวกับว่าลำคอกำลังถูกบดขยี้และเจ็บปวดเสียจนมีเลือดไหลออกมา แต่เมื่อรวมเข้ากับกำลังภายในของเขาจึงทำให้เขาสามารถพูดมันออกมาได้อย่างราบลื่นและน้ำเสียงของเขาดังไปถึงประตูเมือง

เมื่อคำพูดของเขาถูกเปล่งดังออกไป ทหารม้าจำนวนนับหมื่นคนก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่า เสียงของพวกเขาดังออกไปจนฟังแล้วหูแทบหนวก

“ส่งพระชายาฉีมา ส่งพระชายาฉีมา!”

เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะจำนวนมากรวมอยู่ด้วยกันนั้นเพียงพอที่จะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแผ่นดิน และทำให้เมฆเปลี่ยนสีไป

เพียงแค่เรื่องของท่าทางที่แสดงออกมาแคว้นหนานจ้าวยังไม่ทันได้สู้ก็แพ้เสียแล้ว

ในฐานะที่น่าเยี่ยไป๋เป็นองค์ชายแคว้นหนานจ้านเขาย่อมไม่มีทางยอมอ่อนแอต่อหน้าคนจำนวนมาก เขาจึงหัวเราะเสียงเย็นออกมา “มู่หรงฉี เมื่อห้าปีก่อนตอนที่เหลิ่งชิงฮวนออกมาจากเมืองหลวงนางได้เขียนจดหมายหย่าเอาไว้ว่าจะแยกทางกับเจ้า อีกทั้งยังได้รับการอนุญาตจากฮ่องเต้ฉางอัน ตอนนี้นางจะแต่งงานอีกครั้งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และเกิดขึ้นจากความเต็มใจ เจ้ามีเหตุผลอะไรถึงจะมาพาตัวนางไป”

มู่หรงฉียกริมฝีปากขึ้นอย่างเย็นชาและหัวเราะออกมาอย่างเย็นชายิ่งกว่า อีกทั้งยังมีความโอหังและหยิ่งยโส

“ข้าอยากจะมาชิงตัวเจ้าสาวยังต้องใช้เหตุผลอะไรอีกหรือ ข้าบอกว่านางเป็นคนของข้านางก็คือคนของข้า”

“แต่ว่านางรับปากแล้วว่าจะแต่งงานเป็นพระชายาของข้า อ๋องฉีเจ้าจะมาเสียใจทีหลังก็สายไปเสียแล้ว”

“งั้นข้าคงทำได้แค่ทำลายเมืองของเจ้าเสีย และเอาชีวิตของเจ้ามาเพื่อไม่ให้นางได้แต่งงานอีก”

“มู่หรงฉี เจ้ามันไม่เห็นใครในสายตาเกินไปแล้ว! แคว้นหนานจ้าวใช่ที่ที่เจ้าอยากจะบุกเข้ามาก็เข้ามาแล้วทำตัวบเหิมเกริมได้หรือ”

“ในทำนองเดียวกัน ผู้หญิงของมู่หรงฉีใช่ว่าเจ้าอยากแย่งแล้วก็จะเอานางไปแต่งด้วยได้งั้นหรือ ส่งนางออกมาแล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”

“ส่งพระชายาฉีมา ส่งพระชายาฉีมา!” ทหารม้านับหมื่นนายด้านหลังร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนพูดเสียงดังขึ้นเรื่องๆจนทำให้หูแทบหนวก

สีหน้าของน่าเยี่ยไป๋เปลี่ยนสีไปมา “แคว้นฉางอันของเจ้าช่างไร้เหตุผลสิ้นดี เจ้าทำลายสันติภาพของทั้งสองแคว้นคิดจะรังแกแคว้นหนานจ้าวของข้าหรือ เจ้านึกว่าลำพังแค่กำลังทหารม้าแค่ไม่กี่หมื่นคนของเจ้าจะทำสำเร็จหรือ ข้าไม่ใส่ใจหรอก”

มู่หรงฉีไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ความเร่งรีบที่อยากจะพบกับเหลิ่งชิงฮวนทำให้เขาร้อนใจและไม่ฟังใคร รบให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคุยกัน

เขายกมือให้สัญญาณขึ้นอย่างเย็นชา “ฆ่า!”

เพียงคำบัญชาเพียงเดียวตะโกนออกมาว่าฆ่าดังสนั่นไปทั่ว ทหารม้าจำนวนนับหมื่นรีบตรงไปที่ประตูเมืองปี้สุ่ยที่กำลังปิดอยู่

น่าเยี่ยไป๋กับน่าจาอี๋นั่วไม่กล้าเปิดประตูรับข้าศึก จึงทำได้เพียงแค่สั่งให้เหล่าองครักษ์ใช้ไม้กลิ้งหินก้อนใหญ่เพื่อป้องกันการโจมตี

มันเป็นการง่ายที่จะโจมตีแต่ยากที่จะป้องกันเมือง ถึงแม้ว่าจะบอกว่าทหารม้ากล้าหาญและการบุกเข้าใส่นั่นได้เปรียบ แต่ว่าในการทำลายเมืองนั้นความได้เปรียบจะหายไปกึ่งหนึ่ง ส่วนมากแล้วพวกเขาคือเหล่าชายหนุ่มทั่วไปที่ดุเหมือนเสือร้ายที่ลงมาจากภูเขานั้นมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอีกทั้งผ่านการฝึกมาอย่างเป็นขั้นตอนทำให้ประสานกันได้ดีจนทำให้ทหารที่ป้องกันเมืองอยู่นั้นยากที่จะรับมือด้วย ความอันตรายที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดทำให้พวกเขารับมือได้ยาก

น่าเยี่ยไป๋ที่ใจร้อนจนแทบบ้าหันไปเร่งเร้ากับน่าจาอี๋นั่วว่า “จะทำอย่างไรดี เจ้ารีบหาวิธีเร็ว!”

น่าจาอี๋นั่วเอาขลุ่ยไม้ไผ่เลาหนึ่งออกมาจากคอของนางแล้วจรดไปที่ริมฝีปาก เพียงพริบตาก็มีเสียงหวีดหวิวที่ทั้งไพเราะและดุดันดังขึ้นผ่านเสียงตะโกนแห่งการฆ่าฟันเหล่านั้นไปและดังไปทั่วทุกทิศทาง

แสงอาทิตย์ราวกับกำลังถูกบดบังด้วยก้อนเมฆ ก้อนเมฆสีดำลอยไปทางด้านที่ทหารแคว้นฉางอันอยู่และปกคลุมท้องฟ้าทางนั้นเอาไว้

มีคนร้องออกมาอย่างตกใจว่า “ค้างคาว!”

ค้างคาวหลายหมื่นตัวมาจากทั่วทุกทิศทาง พวกมันได้รับผลจากเสียงขลุ่ยและพุ่งตรงเข้าไปโจมตีเหล่าทหารที่กำลังโจมตีเมืองอยู่ด้านล่าง

ถึงแม้ว่าค้างคาวจะไม่ได้ทำให้ตายหรือทำให้เกิดบาดแผลได้มาก แต่ว่าค้างคาวจำนวนมากขนาดนี้บินกรูกันเข้ามาจำนวนมาก อีกทั้งพวกมันยังพยายามปีนไปบนหน้าของเหล่าทหารเพื่อขัดขวางการต่อสู้ของพวกเขาจนพวกเขาต้องยกดาบขึ้นมากันเอาไว้อย่าช่วยไม่ได้

ทหารของแคว้นหนานจ้าวอาศัยจังหวะนี้ยิงธนูออกไป เหล่าทหารที่โจมตีเมืองอยู่นั้นมือไม้ของพวกเขาวุ่นวายกันอยู่ทำให้ตายไปไม่น้อย

มู่หรงฉีเองก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังมีวิธีการแบบนี้อยู่ด้วยทำให้ไม่ทันได้ป้องกันตัว เขารีบสั่งให้ทหารที่อยู่ด้านหลังของเขาใช้ธนูไฟ คบเพลิงปลายแหลมมาใช้เป็นอาวุธในการโจมตีด้วยไฟ

ในช่วงเวลาวิกฤติอันตรายนั้นเองก็มีเสียงดังอันแสบหูกลบเสียงขลุ่ยไม้ไผ่ของน่าจาอี๋นั่ว เสียงนั่นไม่ได้มีจังหวะอะไรทั้งนั้น อีกทั้งยังไม่มีท่วงทำนอง เสียงนั่นเป็นเพียงแค่เสียงสูงที่ดังสนั่นจนทำให้คนฟังปวดแก้วหู

ค้างคาวที่กำลังได้รับคำสั่งกันอย่างเป็นระบบอยู่นั้นจู่ๆก็เหมือนกับว่าได้พบกับศัตรูตามธรรมชาติของตัวเองจนบินแตกกระเจิงไปทั่วทุกทิศ

มู่หรงฉีที่อยู่บนหลังม้าเห็นว่าที่แท้ก็มีเหยี่ยวดุร้ายและอินทรีทองกว่ายี่สิบตัวที่บินร่อนลงมาจากบนฟ้า ปีกของพวกมันสยายออกซึ่งมีความยาวถึงห้าหกฟุต พวกมันบินดิ่งลงมาอย่างดุร้าย ในขณะที่ปีกขยับนั้นเองพวกค้างคาวก็พากันทะยอยร่วงลงบนพื้นและถูกม้าขย้ำเละ

แสงอาทิตย์ทำให้ปลายปีกของนกเหยี่ยวนี้มีสีเหลือบทอง เหล่าทหารเงยหน้ามองขึ้นไปรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูเทพเจ้าอยู่

เหมือนกับว่าสิ่งหนึ่งกำลังทำให้อีกสิ่งหนึ่งตกลงมา เหล่าค้างคาวหวาดกลัวจนหนีแตกฮือไปและหายไปในที่สุด

มู่หรงฉีออกคำสั่งลงไปว่า “กราดธนูออกไป!”

ทหารของแคว้นหนานจ้าวได้เปลี่ยนทิศทางเล็งลูกธนูแล้ว พวกเขาเล็งธนูไปยังนกเหยี่ยวที่อยู่บนฟ้าเพื่อที่จะฆ่าพวกมัน จากคำสั่งของมู่หรงฉีธนูของแคว้นฉางอันก็พุ่งไปยังกำแพงเมืองแคว้นหนานจ้าวราวกับฝนดาวตกจนทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าที่จะลุกขึ้นยืน

เหล่านกเหยี่ยวบินวนอยู่บนท้องฟ้าอย่างสง่างามอยู่สองรอบและหลบห่าธนูของแคว้นหนานจ้าว จากนั้นก็บินไปยังด้านหนึ่งของเมือง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนตกใจ เห็นได้ชัดว่าเหยี่ยวเหล่านี้ถูกฝึกมา เบื้องหลังมีคนลอบช่วยเหลือพวกเขาอยู่

น่าจาอี๋นั่วออกคำสั่งกับทหารไปว่า “ตามไป ฆ่ามันให้หมดอย่าให้เหลือ! มันเป็นใครกันแน่ถึงได้บังอาจเช่นนี้! อีกอย่างใช้กำลังทั้งหมดตามมหาเหลิ่งชิงฮวน อย่าให้นางมีชีวิตรอดกลับไปเมืองฉางอันเป็นอันขาด”

หากเรื่องที่นางใช้แมลงกู่กับอวี้โจวถูกเปิดเผยออกไป แคว้นฉางอันก็จะมีชื่อเสียงและทำให้จิตใจของเหล่าทหารไม่มั่นคง แบบนั้นก็จะแย่น่ะสิ

ทหารรับคำสั่งแล้วขี่ม้าตามเหยี่ยวไป เพียงแต่ว่าขาสองข้างไม่อาจตามความเร็วในการบินของเหยี่ยวได้ทัน

คนที่อยู่บนกำแพงร้องออกมาอย่างตกใจว่า “ดูเร็ว ดูนั่นเร็ว!”

ทุกคนเงยหน้าขึ้นก็เห็นนกอินทรีสีทองบินเรียงแถวกันมาสองแถวบินออกมาจากเมืองปี้สุ่ยผ่านไปอย่างเชื่องช้า เหมือนจะเห็นเชือกอยู่บนกรงเล็บของพวกมัน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของเชือกนั้นอยู่ในมือของผู้หญิงคนหนึ่ง

หญิงสาวอยู่ในชุดสีแดงชายกระโปรงประดับด้วยเครื่องประดับสีเงินท่ามกลางแสงอาทิตย์ เมื่อลมพัดผ่านมาเหล่าเครื่องประดับเงินส่งเสียงใสดังระรื่นหู

ดังนี้เองนกอินทรีทองจำนวนหนึ่งจึงบินด้วยกันอย่างพร้อมเพียงพาหญิงสาวชุดแดงออกมา พวกบินออกมาจากนอกกำแพงเมืองกันอย่างสง่างาม จากนั้นก็ค่อยๆร่อนลงมาบนพื้น สุดท้ายก็ลงบนพื้นที่ว่างอย่างสบายๆ หญิงสาวในชุดแดงยกมือขึ้นนกอินทรีทองเหล่านั้นก็บินไกลออกไปพร้อมกับเชือก

จากนั้นหญิงสาวก็หันกลับมา แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนช่วงคิ้วและตาของเธอ รอยยิ้มที่ราวกับจะพรากวิญญาณผู้ได้เห็นไปค่อยๆแย้มยิ้มขึ้นอย่างทั้งสง่างามและน่าหลงใหล

เหล่าทหารรู้สึกว่าโลกทั้งโลกสดใสขึ้นในทันที ในใจของพวกเขาเหมือนกับมีน้ำพุร้อนอันอบอุ่นชะล้างเบาๆ ทำให้ความโกรธทั้งหมดที่มีในใจแปรเปลี่ยนเป็นความสบายใจ

ถ้าหากว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยิ้มให้กับข้าเช่นนี้และในดวงตาของนางมีเพียงข้าไม่มีคนอื่น ข้าก็ยินดีที่ใช้กำลังทั้งหมดที่มีรวมถึงชีวิตของข้าเพื่อปกป้องนาง

เสียงของการฆ่าฟันทั้งหมดในตอนนี้หยุดลง ทั่วทั้งสนามรบนั้นเงียบสนิท

เหลิ่งชิงฮวนนั้นเป็นเช่นนี้ เธอยิ้มอออกมาอย่างสดใสและเปิดเผยไปให้กับมู่หรงฉีที่อยู่บนหลังม้าอย่างไม่เสแสร้งเลยสักนิด เมื่อเธอได้เห็นเขาแล้วในหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความยินดีและความรัก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา