ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 531

มู่หรงฉีเห็นว่าฮ่องเต้ชรากลับไปแล้วเขาก็กระโดดเข้ามาจากด้านนอก

ละครวันนี้เขาไม่ได้เข้าร่วมด้วย มีเขาอยู่คงทำอะไรไม่ได้ “ได้ยินว่าเสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้พวกเราอีกครั้ง?”

เหลิ่งชิงฮวนยิ้มแปลกๆ “ไม่ใช่พระราชทานสมรส ท่านดู”

มู่หรงฉีรับมันมาจากมือของเธอยังแปลกใจ เขาอ่านมันทุกตัวเมื่อเห็นช่วงสุดท้ายเขาก็ชะงักไป “ไม่ได้ประทับตรา?”

เหลิ่งชิงฮวนยักไหล่อย่างจนใจและพูดกับมู่หรงฉีว่า “เดิมทีพวกเราสองคนก็ไม่ได้เข้าพิธีด้วยกัน ตอนนี้แม้แต่ราชโองการสมรสพระราชทานก็เป็นของปลอม ก็ดี หย่าครั้งหน้าพวกเราก็แยกทางกัน ไม่ต้องเขียนหนังสือหย่าอะไรพวกนั้นแล้ว”

“หย่า?” มู่หรงฉีค่อยๆหรี่ตา ในประโยคของเขามีความข่มขู่

เหลิ่งชิงฮวนหดคอแล้วอธิบายว่า “ครั้งหน้า ครั้งหน้าหมายถึงชื่อคน ไม่ใช่ข้า”

มู่หรงฉีร้องหึออกมาเสียงเบา

คำพูดของเหลิ่งชิงฮวนทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย อีกทั้งยังรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในมือของเขาอย่างแน่นอนกำลังหลุดมือไป ถึงแม้จะบอกว่าเขาคว้าเอาไว้เอาไว้ได้แน่นแล้ว แต่ความยั่วเย้าอันมีเสน่ห์ของนางนั้นทำให้ผู้คนต่างจ้องกันตาเป็นมัน

ช่างน่าเบื่อเสียจริง

ชายชราของพวกเขาต้องจงใจแน่ๆ แต่งภรรยาสักคนทำไมถึงได้ยากเย็นเช่นนี้

ในจวนอ๋องเพราะการกลับมาของเหลิ่งชิงฮวนนั้นเป็นที่ฮือฮาไปทั่ว คนคุ้นเคยจำนวนมากส่งเทียบมาเพื่อจะเข้ามาพบ ที่หน้าประตูเต็มไปด้วยผู้ซึ่งแตกต่างกับในช่วงหลายปีมานี้

เหลิ่งชิงฮวนคร่ำหวอดในตลาดอยู่หลายปีนางเข้าใจถึงความไม่จริงใจของตน เธอเองก็ไม่อยากจะแสดงสีหน้าว่าชอบหรือไม่ชอบอีก ในบรรดาคนที่มาอย่างมีจุดประสงค์อยู่นี้มีอยู่มาก ในระหว่างที่รับแขกอยู่นั้นก็ปรากฏร่างของนายหญิงแห่งจวนอ๋องที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม

โฉวซือเส่าที่ไม่มีอะไรทำก็นั่งอยู่บนกำแพงแล้วหยิบขลุ่ยหยกออกมาเป่ามันเบาๆ เขาเป่ามันอย่างมีสมาธิด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ท่วงทำนองอันอ้อยอิ่งราวกับกำลังตำหนิความรู้สึกอันบอบบางของเหลิ่งชิงฮวน ทำให้เผยออกมาให้เห็นถึงความแค้นที่สุ่มอยู่ในอกอย่างเมที่

ชุดสีแดงพลิ้วไหวไปในสายลม โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกไม้ที่ติดอยู่ที่ชายเสื้อทำให้ดวงตาของหญิงรับใช้พร่าไปหมด

เหล่าหญิงสาวไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน พวกนางเดินวนไปมาในจวนอ๋อง บริเวณจอนผมของพวกนางประดับไปด้วยลูกปัดเป็นรูปดอกไม้เพื่อหวังจะดึงความสนใจจากโฉวซือเส่า

บนโลกใบนี้ชายรูปงามที่มีความสามารถโดดเด่น ทั้งยังร่ำรวยและยังรักคนอื่นเป็น เขาปกป้องเสี่ยวอวิ๋นเช่ออย่างใส่ใจเพียงนั้น จะไปหาคนที่ดีเช่นนี้ได้ที่ไหนกัน

นี่ยังไม่รวมถึงที่เขาซื้อบ้านจำนวนมากในคราวเดียว ขอเพียงแค่ให้พวกนางสักหลังให้นางได้เป็นหญิงสาวในห้องหอก็เพียงพอแล้ว

จวนอ๋องฉีในเวลานี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาและบรรยากาศนี้อบอวลไปทั่ว

ทั้งสถานที่ที่เหมาะสมและความร่วมมือร่วมใจกันหญิงรับใช้สองคนที่รับผิดชอบกิจการทั้งหมดของเธอในเมืองฉางอันก็รีบกลับเข้าเมืองหลวงในเวลากลางวันและรับผิดชอบปกป้องเสี่ยวอวิ๋นเช่อ

การเข้าเมืองหลวงไม่เหมือนกับที่เจียงหนาน เมื่อเหลิ่งชิงฮวนกลับมาเธอก็ระแวดระวังกับความปลอดภัยของเสี่ยวอวิ๋นเช่อมากขึ้น เฟิงเหล่ยอวี้นั้นเห็นได้ชัดว่าเธออ่อนแอเกินไปอีกอย่าคือเธอยังต้องดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของโฉวซือเส่า

วันปกติชิงฮวนต้องจัดการเรื่องหยุมหยิมในชีวิตมากเกินไปและยังต้องการผู้ช่วยที่มีความสามารถ เวลากลางวันต้องมีฉลาดและตื่นรู้ มีฝีมือดีจนเธอสามารถวางใจมอบหมายงานให้ได้

รองแม่ทัพสูงสุดอวี๋กับเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่สองวันนี้ก็ทำตัวลึกลับไม่รู้ว่ายุ่งอะไรกันอยู่

แม้แต่โตวโตวกับแม่นมเตียวเองก็ยุ่ง พวกเธอแอบคุยอะไรกันบางอย่างเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาก็รีบเงียบลง

เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกว่าพวกเธอมีอะไรปิดบังเธออยู่ เมื่อเปรยเรื่องนี้กับมู่หรงฉี มู่หรงฉีก็บอกว่าเธอคิดมากไป

เธอหาเวลาว่างไปที่จวนกั๋วกงเพื่อไปเยี่ยมเหล่าไท่จวิน ตอนนี้เหล่าไท่จวินก็เริ่มหลงๆลืมๆแล้วมีอาการของคนแก่ พูดอะไรสับสนไปหมด

แต่เมื่อเห็นเหลิ่งชิงฮวนก็มีสติชัดเจนอย่างหาได้ยากและรู้ตัวดี เธอเข้ามาดึงมือเหลิ่งชิงฮวนแล้วน้ำตาไหลลงมา

แต่เมื่อเเสี่ยวอวิ๋นเช่อเข้ามาข้างหน้าแล้วเรียกเธอว่าท่านยายอย่างว่าง่ายนั้นเอง เธอก็กลับมาหลงๆลืมๆอีกครั้งแล้วหันไปถามเหลิ่งชิงฮวนว่า “เจ้ายังมีครรภ์อยู่อย่าได้เดินไปเดินมามากนัก ควรรักษาสุขภาพตัวเองให้ดี อีกหน่อยจะได้ให้กำเนิดเด็กน้อยที่ทั้งว่าง่ายและน่ารักเช่นนี้”

ความทรงจำของหญิงชราเหมือนกับว่ายังอยู่ที่เมื่อห้าปีก่อน และยังมองว่าเหลิ่งชิงฮวนเป็นเด็กที่นางยังวางใจไม่ได้

สิ่งนี้ทำให้เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เมื่อกลับมาที่จวนอ๋องเหลิ่งชิงเฮ่อก็มาถึงก่อนแล้วและบอกว่ามหาเสนาบดีเหลิ่งนั้นคิดถึงหลานชายจึงอยากจะรับเธอกลับไปที่จวนและค้างอยู่สักสองสามวัน

เธอจากไปถึงห้าปี ครั้งก่อนที่กลับไปที่จวนมหาเสนาบดีก็อยู่ที่นั่นได้ไม่นาน เธอควรจะกลับไปที่บ้านแล้วอยู่กับครอบครัวเสียหน่อย

เธอเข้าไปลากับมู่หรงฉีแล้วพาเสี่ยวอวิ๋นเช่อกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี

เสนาบดีเหลิ่งเมื่อเห็นเหลิ่งชิงฮวนก็เข้ามาลากเธอไปอีกด้านหนึ่งและพูดความปรารถนาที่อยากจะอุ้มหลานชายพูดออกมาอย่างอึกอัก

“ชิงเฮ่อเจ้ายังหนุ่มอยู่อีกไม่กี่ปีจะไม่รีบได้อย่างไร ข้าได้คิดเอาไว้แล้วว่าจะให้พี่ของเจ้ารับอนุเข้ามาสักคน แต่พี่สะใภ้เจ้าไม่ยอมท่าเดียว พ่อให้เจ้ากลับมาก็เพื่ออยากให้เจ้ามาช่วยเตือน ขอเพียงแค่ให้ข้าได้อุ้มหลานอะไรก็คุยกันง่าย”

เรื่องนี้ปัญหาอยู่ที่ใครก็บอกได้ยากนัก พ่อของเธอเองก็เข้ามาวุ่นวายกับเขาด้วย

เหลิ่งชิงฮวนไม่ได้ต่อต้าน เธอรับปากออกมาเพียงคำเดียว

เธอรู้ว่าว่าฉู่รั่วซีไม่ใช่พวกมีนิสัยกระมิดกระเมี้ยน ช่วงเวลาที่ทั้งสองคนรู้จักกันก็จะพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าแต่งกับพี่ชายข้ามาตั้งนานแล้ว เมื่อไรจะมีหลานให้ข้าสักคนล่ะ”

ฉู่รั่วซีหน้าแดงและหลุดพูดออกมาอยู่นาน “เมื่อสองปีก่อน สุขภาพของพี่ชายเจ้าไม่แข็งแรง พวกเราเองจึงไม่ได้วางใจ แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาบำรุงจนพอประมาณแล้วแม้แต่ท่านหมอเองก็บอกว่าไม่มีปัญหา แต่ว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับท้องของข้าเลย

ตอนที่ข้ากลับไปที่จวนแม่ทัพ ท่านแม่ได้หาหมอมาตรวจข้าบอกว่ามดลูกของข้ามีปัญหาไม่อาจตั้งครรภ์ได้ ยาขมข้าก็ดื่มมาครึ่งปีแล้ว ยาพื้นบ้านข้าก็ใช้แล้วแต่ก็ไม่ได้ผล

เรื่องนี้ได้กลายเป็นความทุกข์ในใจของข้า ความอกตัญญูสามประการ แต่ที่หนักที่สุดคือการไม่มีทายาทสืบสกุล ความหมายของท่าพ่อข้าเข้าใจ ท่านพูดเรื่องนี้ไม่เพียงแค่หนึ่งครั้งให้พี่ชายเจ้ารับอนุเพิ่ม อย่าได้เสียเวลาจุดธูปในจวนมหาเสนาบดี แต่ท่านพี่ของเจ้าไม่ยอมข้าเองก็อึดอัดใจ”

เมื่อพูดออกมาขอบตาของนางก็แดง

ผู้หญิงคนไหนกันที่จะยอมให้สามีของตัวเองรับอนุ อย่าไงรก็ตามเหลิ่งชิงฮวนก็ไม่สามารถใจกว้างแบบนี้ได้

เธอตรวจอาหารให้กับฉู่รั่วซีอย่างละเอียด มดลูกของเธอถูกบำรุงอย่างธรรมกา แต่ว่าท่อนำไข่นั้นอุดตันจำเป็นต้องขูดออก มันค่อนข้างทรมาณ

ยังมีท่านพี่ที่ถูกพิษมาแต่แรกนั้นได้รับบาดเจ็บที่ไต ไม่รู้ว่าจะกระทบกับการสืบพันธุ์หรือไม่ มีปัญหาบางอย่างที่การจับชีพจรของแพทย์แผนจีนไม่สามารถตรวจเจอได้

ทางด่นของท่านพี่เขามักจะเกรงใจที่จะพูดตรงๆ เธอกระซิบที่ข้างหูของฉู่รั่วซีเสียงเบาสองสามประโยค ใบหน้าของฉู่รั่วซีแดงก่ำและจับหน้าอกของตัวเอง “ทำไมถึงได้ใช้วิธีน่าอับอายเช่นนี้ล่ะ ถ้าหากว่าท่านพี่ของเจ้ารู้เข้า เกรงว่าเขาจะอับอายจนเงยหน้าขึ้นไม่ไหว”

ในฐานะที่เหลิ่งชิงฮวนเป็นหมอ เธอก็ไม่รู้สึกแปลกอะไรและรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ โรงพยาบาลในยุคปัจจุบันหมอล้วนตะโกนเสียงดัง แต่เมื่อเป็นยุคโบราณนั้นมันยากที่จะพูดออกมา โชคดีที่ฉู่รั่วซีเองก็หน้าหนาเหมือนกัน

เมื่อตรวจอาหารและจ่ายยาแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วเหลิ่งชิงฮวนก็อยากจะไปเคารพหลุมศพของมารดา

เหลิ่งชิงเฮ่อเองก็ว่างพอดีสองพี่น้องจึงให้คนไปเตรียมของไหวและธูปเทียน จากนั้นพวกเขาก็ออกจากเมืองไปที่สุสานตระกูลเหลิ่ง

ฝนเพิ่งจะตกไป บริเวณรอบๆสุสานนั้นมีหญ้าขึ้นรกแต่ด้านในสุสานกลับถูกดูแลอย่างดี ชิงฮวนจัดวางของไหว้และธูปเทียนเรียบร้อยแล้ว เหลิ่งชิงเฮ่อก็ถูกคนดูแลสุสานเรียกตัวไป เมื่อมองไปรอบๆหลังจากที่ถูกฝนชะไปแล้วก็เห็นว่าไม่มีอะไรที่ต้องซ่อม

ภายในสุสานเงียบมาก เหลิ่งชิงฮวนที่มาอย่างกะทันหันก็สัมผัสได้ถึงอะไรแปลกๆราวกับว่าตัวเองนั้นถูกสัตว์ร้ายจ้องมองอยู่จนทำตัวไม่ถูกและรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ข้างหลัง

นี่คือความว่องไวและความระแวดระวังที่บ่มเพาะมาหลายปี เธอรู้สึกว่าบริเวณใกล้ๆสุสานนั้นมีคนอยู่อีกทั้งยังเฝ้าดูเธอทุกการเคลื่อนไหว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา