ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 549

เรื่องนี้ เหลิ่งชิงฮวนโดนใส่ร้าย

แม้ว่าเสี่ยวอวิ๋นเช่อจะซุกซน แต่ทุกครั้งเธอก็แค่ทำท่าน่ากลัวเท่านั้น เธอกดเขาลงบนม้านั่ง ถอดกางเกงออกและพูดเสียงดังให้เขาตกใจ แต่งบางครั้งอารมณ์ก็พลุ่งพล่านจนเผลอตีก้นเขาสองสามที แต่เจ้าเด็กนี่กลับอาไปบ่นทุกที่ พูดเสียจนเธอกลายเป็นคนโหดร้ายและตัวเองดูน่าสงสาร

มู่หรงฉีทนไม่ได้ “คราวหน้าอย่าไปบ่นเรื่องไร้สาระกับเสด็จปู่และเสด็จย่าอีก ท่านแม่ตีเจ้าตอนไหน?”

เสี่ยวอวิ๋นเช่อกลอกตาไปที่เขา “ทำไมท่านพ่อโง่จัง? ท่านไปดุภรรยาของท่านบ้างสิ หากมีคนมาแย่งนางไปจะทำอย่างไร? ท่านดูสิ เพียงแค่ข้าพูดถึงท่านแม่กับพวกที่อยู่ในสถานศึกษา พวกเขาก็กลัวกันหัวหด ไม่มีใครกล้ามาแย่งท่าแม่กับข้าหรอก แต่ดูท่านสิ”

อ๋องฉีอดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ มันเป็นคำพูดที่ปลุกผู้คนให้ตื่นจากฝัน และตระหนักรู้ได้ในทันที

นับตั้งแต่ที่เขาได้ข่าวของชิงฮวน เขาก็ต้องการที่จะแย่งชิงเธอกลับมาจากรัชทายาทหนานจ้าว และยังต้องคอยระวังไม่ให้เธอหลบหนีไปกับโฉวซือเส่าอีก

เขาพยักหน้าซ้ำๆ “บุตรของข้าพูดถูก จากนี้ไปในฐานะพ่อ ข้าจะรักท่านแม่เจ้ามากขึ้น จนนางโหดเหี้ยมกว่าใครและไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาง เจ้าว่าไง?”

เสี่ยวอวิ๋นเช่อพยักหน้าอย่างจริงจัง “ท่านพ่อมีอนาคตสามารถสั่งสอนได้ แต่ท่านไม่กลัวใครจะมาแย่งบุตรของท่านไปหรือ”

“บุตรสามารถให้กำเนิดใหม่ได้ แต่สะใภ้ต้องคนนี้เท่านั้น”

บทสนทนาของทั้งสองคนทำให้เหลิ่งชิงฮวนหัวเราะลั่น

ครอบครัวทั้งสามลดเสียงลง หยอกล้อกัน พวกเขาไม่ฟังสิ่งที่ฮ่องเต้พูดด้วยซ้ำ

ในตอนเริ่มต้นของงานเลี้ยง ขุนนางทุกคนยกจอกเหล้าขึ้นเพื่อดื่มอวยพรและยกมือขึ้นน่าจาอี๋นั่วเองก็ไม่ยอมแพ้ กระจกจนจอกเหล้าแห้ง ส่วนน่าเยี่ยไป๋ไม่อาจดื่มได้เนื่องจากปัญหาด้านร่างกาย

บางคนอยากเห็นทูตของหนานจ้าวขายหน้าจึงเข้าไปยกจอกกับน่าจาอี๋นั่วด้วยความกระตือรือร้น แม้กระทั่งมีความคิดที่จะดวลสุราแปะอยู่บนหน้า น่าจาอี๋นั่วไม่ปฏิเสธ นางไม่ได้มีท่าทางมึนเมาเลยสักนิด

เหลิ่งชิงฮวนคิดว่าต้องมีหนอนสุราอยู่ในร่างกายของนาง คอยดูดซับแอลกอฮอล์ทั้งหมดที่นางดื่มเข้าไป สุราก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำ ดื่มอย่างไรก็ไม่เมา พวกที่คิดจะท้าทายหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ

หลังจากดื่มไปสามรอบ น่าจาอี๋นั่วก็ลุกขึ้น ถือจอกสุราไว้ในมือ ใบหน้าแดงก่ำและพูดด้วยเสียงอันดังว่า “วันนี้ต้องขอบพระทัยฮ่องเต้สำหรับการต้อนรับ ฉางอันอบอุ่นมากจริงๆ บุรุษเองก็กล้าหาญ อี๋นั่วขอชื่นชมจากใจจริง ข้าเต็มใจที่จะอยู่ฉางอันตลอดไปและแต่งงานกับผู้กล้าของฉางอัน หวังว่าฮ่องเต้จะทรงยินยอม”

ทันใดนั้นเกิดเสียงกระซิบระหว่างงานเลี้ยง ในเมืองฉางอันไม่มีสตรีคนไหนกล้าที่จะพูดถึงการแต่งงานของตนในที่สาธารณะ องค์หญิงของหนานจ้าวคนนี้กระตือรือร้นเกินไปดวงตาของฮ่องเต้ค่อยๆ กวาดตามองผู้คนในงานเลี้ยง แทนที่จะรีบตอบเขากลับถามแทนว่า “นี่คือความคิดของกษัตริย์ของหนานจ้าวหรือ?”

น่าจาอี๋นั่วส่ายศีรษะ “กราบทูลฮ่องเต้ นี่คือความตั้งใจของอี๋นั่วเอง สตรีในหนานจ้าวไม่ได้ถูกสงวนเหมือนสตรีในฉางอัน ดังงั้นหม่อมฉันจึงสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”

“จริงหรือ?” ฮ่องเต้หันหน้ามาถามน่าเยี่ยไป๋ “รัชทายาทเห็นอย่างไร?”

น่าเยี่ยไป๋กระแอมสองครั้งและเอ่ยตอบ “ในฐานะพี่ชายคนโต หม่อมฉันเต็มใจที่จะเคารพความคิดเห็นของน้องสาว หากนางมีที่พึ่งในฉางอันไปตลอดชีวิต หม่อมฉันก็จะกลับหนานจ้าวได้อย่างสบายใจ”

น่าจาอี๋นั่วยิ้มอย่างร่าเริง “อี๋นั่วเพิ่งมาถึงฉางอันในวันนี้แต่กลับเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไม่มีจุดหมายอื่นใด เพียงแค่อาศัยจังหวะที่ท่านพี่ยังอยู่ที่ฉางอันเป็นสักขีพยานในการแต่งงานของหม่อมฉัน”

เหลิ่งชิงฮวนคิดว่าน่าจาอี๋นั่วจะคิดหาวิธีกลับบ้านเกิด แต่ใครจะคิดว่านางจะพูดเรื่องแต่งงานขึ้นมา ดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

ในความเป็นจริงถ้าน่าจาอี๋นั่วอยู่ในฐานะตัวประกันจริงๆ ฮ่องเต้ก็คงจะไม่ปล่อยให้นางอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต ซ้ำคงจะทางให้นางแต่งงานในเร็ววัน

ตามสามัญสำนึกอย่างน้อยนางต้องรอจนกว่าจะสงบลงและมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเมืองฉางอัน รอจนมีคนที่ต้องตาต้องใจแล้วค่อยยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดจะไม่ดีกว่าหรือ?

ไม่ว่าจะรีบร้อนแค่ไหน ก็ยังต้องรอให้การเจรจาจบลง รอจนร่างกายของน่าเยี่ยไป๋ฟื้นฟู สักขีพยานอะไรนั่นก็แค่ข้ออ้าง

ฮ่องเต้พยักหน้า “องค์หญิงพูดถูก ข้าจะให้การอภิเษกกับองค์หญิงโดยเร็วที่สุด รัชทายาทจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจเมื่อเสด็จกลับหนานจ้าว อย่างไรก็ตามผู้ที่จะขออภิเษกสมรสต้องมีความโดดเด่น ถึงจะเหมาะสมกับหงส์ทองที่บินมาจากหนานจ้าว เช่นนั้นข้าจะคัดเลือกให้องค์หญิงเอง”

น่าจาอี๋นั่วขอบคุณฮ่องเต้สำหรับคำอวยพร “อี๋นั่วขอบพระทัยฮ่องเต้สำหรับการอนุญาต อี๋นั่วเกิดมาก็ไม่ชอบนักปราชญ์ที่อ่อนแอ แต่กลับชอบพอวีรบุรุษที่ควบม้าในสนามรบ หม่อมฉันต้องตาผู้หนึ่งมานาน”

จู่ๆ ลางสังหรณ์ร้ายก็ปรากฏขึ้นในใจของเหลิ่งชิงฮวน คำสบถมากมายพรั่งพรูเข้ามาในหัวใจจนปวดร้าว

น่าจาอี๋นั่วไม่เคยรู้จักกับคนในราชสำนักของฉางอัน เช่นนั้นวีรบุรุษบนหลังม้าจะเป็นใครได้

แย่แล้ว นางกำลังจ้องเนื้อในชามของเธออยู่

แน่นอนว่าดวงตาของฮ่องเต้กวาดมองผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว แสร้งทำเป็นเดาไม่ออกและถามน่าจาอี๋นั่ว “จริงหรือ? ข้าไม่รู้ว่าคนที่องค์หญิงพูดถึงคือใคร หากเหมาะสมข้าก็จะออกหน้าให้”

ทั้งตำหนักหมิงเต๋อเงียบกริบ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่น่าจาอี๋นั่ว

องค์หญิงแห่งหนานจ้าวหากได้แต่งกับใครก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร ชีวิตหลังจากนี้คงจะทุกข์ทรมานโดนฮ่องเต้จับตามองตลอด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพลทหารที่ต้องอยู่เคียงข้างคนหนานจ้าวนั้น ฮ่องเต้ยังต้องมอบความไว้วางใจให้เขาทำงานได้หรือ? ตำแหน่งนี้ช่างน่าอึดอัดเกินไป

หากเป็นคนธรรมดาก็คงจะเป็นหายนะ แต่หากเป็นพวกชาติตระกูลสูงส่งก็คงจะเป็นอีกเรื่อง

มู่หรงฉีกระชับมือที่ถือจอกสุรา ลดเปลือกตาลง ดวงตาของเขาหรี่ลงและเห็นได้ชัดว่ากลายเป็นคนระแวดระวังเล็กน้อย

เขาไม่ได้เงยหน้า แต่น่าจาอี๋นั่วกลับหันกลับมามองมู่หรงฉี ยกนิ้วเรียวขึ้นชี้ไปที่เขาและพูดด้วยความมั่นใจ “ไม่ใช่ใครอื่นไกล นอกจากท่านอ๋องฉีที่อี๋นั่วรักมาตลอด ครั้งแรกที่หม่อมฉันเห็นเขาในสนามรบ เขาเป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญและทรงพลัง อี๋นั่วจึงตกหลุมรักเขา ลูกธนูที่เขายิงใส่หม่อมฉันในสนามรบทำให้อี๋นั่วรักเขาอย่างสุดซึ้งและคิดถึงเขาทั้งวันทั้งคืน”

“น่าเสียดายที่ทั้งสองแคว้นกลับเป็นศัตรูกันจึงไม่อาจเกี่ยวดองกันได้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่กล้าพูดออกมา โชคดีที่มีโอกาสในวันนี้ฮ่องเต้ยินดีที่จะออกหน้าแทน อี๋นั่วจึงกล้าพูดออกมา อี๋นั่วอยากแต่งเข้าจวนอ๋องฉี และเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านอ๋อง”

คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงทำให้เกิดความโกลาหลในตำหนัก ด้านมู่หรงฉีเองก็ยังกังวลจนต้องเหลือบมองเหลิ่งชิงฮวนเพราะกลัวนางจะเข้าใจผิด เขาไม่ได้ทำและเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเพื่อเกลี้ยกล่อมเธอ

เหลิ่งชิงฮวนไม่ได้เข้าใจอะไรผิด แต่นางกลับเสนอตัว เพียงเห็นครั้งแรกก็รักเขาทันทีดังนั้นจึงห้ามอะไรไม่ได้ เธอรู้สึกหดหู่ใจ หากลูกศรของมู่หรงฉีในตอนนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างออกไป ก็คงจะเข้าที่คอนางเลยใช่ไหม?

นี่ไม่ใช่ศรรักของกามเทพ ถูกยิงเข้าก็เจ็บเสียดแทงหัวใจและยังทำให้คนโดนธนูแอบตกหลุมรักได้ ล้อเล่นหรือไง?

องค์หญิงอี๋นั่วคนนี้ใช้ในทางที่ผิดหรือ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา