ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 55

สรุปบท ตอนที่ 55 ผู้หญิงคนนี้ต้องการแย่งชิงตำแหน่ง: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา

สรุปตอน ตอนที่ 55 ผู้หญิงคนนี้ต้องการแย่งชิงตำแหน่ง – จากเรื่อง ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา โดย เฉลิมพล

ตอน ตอนที่ 55 ผู้หญิงคนนี้ต้องการแย่งชิงตำแหน่ง ของนิยายนิยาย โรแมนติคเรื่องดัง ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา โดยนักเขียน เฉลิมพล เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เรือนจื่อเถิง

เหลิ่งชิงหลางนั่งอยู่หน้าแสงเทียน เอามือกุมหน้าผาก ไว้ คิดอย่างเหม่อลอยตามลำพัง

จือชิวถือแตงที่ปลอกมาแล้วเรียบร้อยจานหนึ่งเข้ามา และวางลงเบาๆ ตรงข้างมือของเหลิ่งชิงหลาง

“คุณหนูเจ้าค่ะ ทานแตงดับกระหายหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”

เหลิ่งชิงหลางเก็บสายตาภายใต้แสงเทียนสีแดงที่อยู่ตรงหน้าลง และกวาดมองใบหน้าจือชิวอย่างไม่ใส่ใจ รอยแดงบนแก้มของนางที่บวมตอนนี้หายไปนานแล้ว คืนสภาพกลับมาขาวและเรียบเนียนเหมือนเก่า เมื่อลองมองอย่างละเอียดแล้ว นางมีผิวพรรณที่บอกบางและดวงตากลมโต ปลายเปลือกตาเลิกขึ้น มีเสน่ห์ที่งดงามดูธรรมชาติ อย่างที่แม่จ้าวว่าเอาไว้ไม่มีผิด เป็นหญิงที่งดงามจริงๆ

นางหยิบแตงหวานๆ ขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดเข้าไปหนึ่งคำ “ยังโกรธข้าเรื่องในวันนั้นอยู่หรือ? ข้าเองก็จนใจถึงได้ตีเจ้าไป เจ้าคงจะเข้าใจหลักเกณฑ์ที่ว่าหนึ่งร่วงล้วนร่วง หนึ่งโรจน์ล้วนโรจน์”

จือชิวส่ายหน้า “คุณหนูท่านพูดอะไรเช่นนั้น ว่ากันว่าปลาหมอตายเพราะปาก จือชิวรู้ว่าท่านทำเช่นนี้เพราะหวังดีกับบ่าว”

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” เหลิ่งชิงหลางกวาดตามองนางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ “ได้ยินมาว่า คืนนั้นเจ้าวิ่งออกไปข้างนอกคนเดียวหรือ?”

จือชิวหลุบสายตาลง “เรียนคุณหนู บ่าวไปหาท่านอ๋องที่ห้องตำรามาเจ้าค่ะ”

มือของเหลิ่งชิงหลางสั่นเล็กน้อย แตงหวานๆ หลุดร่วงลงมาจากระหว่างนิ้ว ตกไปยังชายกระโปรง

จือชิวรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างร้อนรนเพื่อหยิบขึ้นมาโยนทิ้งไปไกลๆ แล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด “ตอนที่บ่าวคุกเข่าสำนึกอยู่ครึ่งค่อนวัน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ไม่เพียงแต่จะช่วยอะไรคุณหนูไม่ได้ แต่ยังทำให้คุณหนูเดือดร้อนเพราะบ่าวไปด้วย ดังนั้นเมื่อคิดไปคิดมาแล้ว จึงเป็นฝ่ายไปหาท่านอ๋องที่ห้องตำราเอง เพื่อให้ขอให้ท่านอ๋องลงโทษ ขอร้องให้ท่านอ๋องมาที่เรือนจื่อเถิง”

เหลิ่งชิงหลางได้ฟังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ไปขอรับโทษจำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูดีด้วยงั้นหรือ?”

“บ่าวอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ กังวลว่าท่านอ๋องจะเข้าใจผิดคิดว่าคุณหนูปฏิบัติต่อพวกบ่าวข้ารับใช้ไม่ดี ดังนั้นจึงลงแป้งเพื่อปกปิดรอยแดงที่บวมบนใบหน้า บ่าวไปขอรับโทษโบยด้วยความเต็มใจต่อหน้าท่านอ๋อง หวังเพียงให้ท่านอ๋องหายโกรธเท่านั้น อย่าได้เข้าใจคุณหนูผิดไป ทำไมเมื่อไปอยู่ในสายตาคนอื่น ถึงได้พูดใส่ความกับบ่าวเช่นนี้ได้?”

“คนอื่นก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย” เหลิ่งชิงหลางเปลี่ยนเรื่องในทันที “อีกทั้งวันต่อมาเจ้าก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยพูดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงอยากเอ่ยถามเฉยๆ”

“บ่าวไม่ได้พบกับท่านอ๋อง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะรายงานได้เจ้าค่ะ”

มีเสียงดังมาจากข้างนอก เป็นสาวใช้ที่ส่งไปที่ห้องครัวได้กลับมาแล้ว นางแหวกผ้าม่านเดินเข้ามา สองมือว่างเปล่า

“รังนกล่ะ?” จือชิวเอ่ยถามนาง “ไม่ใช่บอกให้เจ้าเข้าครัวไปเอารังนกมาให้นายหญิงไม่ใช่หรือ?”

“รังนกหมดแล้ว ผู้ดูแลห้องครัวบอกว่า วันนี้ท่านอ๋องส่งคนกลับมาที่จวน ให้มาเอาอาหารหลายอย่างกลับไป และยังเอารังนกที่ฮูหยินกินทุกวันเอากลับไปที่ค่ายทหารด้วย”

“เอาไปแล้วงั้นหรือ?” เหลิ่งชิงหลางขมวดคิ้ว “ใครกินกัน?”

สาวใช้ไม่ได้พูดอะไรต่อ จือชิวส่งเสียงฮึกฮักไม่พอใจเล็กน้อย “ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก? ที่นั่นลำบาก อาหารพวกนั้นและรังนกจะต้องเตรียมไว้ให้เหลิ่งชิงฮวนอย่างแน่นอน”

ทันทีที่พูดจบ เหลิ่งชิงหลางก็สะบัดมือกวาดแก้วน้ำชาและชามแตงที่อยู่บนโต๊ะลงบนพื้น โมโหจนหน้าอกหอบหายใจกระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ

“ให้เหลิ่งชิงฮวนกิน? นางคู่ควรด้วยหรือ! นางคิดว่าตัวเองเป็นอะไร?”

สาวใช้สะดุ้งเฮือก ไม่กล้าขานตอบ

จือชิวจึงถามนาง “เหลิ่งชิงฮวนยังไม่กลับมาอีกหรือ?”

สาวใช้ส่ายหัวไปมา “คนผู้นั้นก่อนจะไปได้กล่าวไว้ว่า อาการบาดเจ็บของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดยังไม่คงที่ พระชายายังคงต้องอยู่ในค่ายทหารต่อ คืนนี้ไม่สามารถกลับมาได้ ”

“อยู่ในค่ายทหารงั้นหรือ? ในค่ายทหารไม่ใช่ไม่ให้ผู้หญิงค้างคืนที่นั่นไม่ใช่หรือ? จะต้องเป็นเหลิ่งชิงฮวนที่อ้างว่าต้องอยู่รักษาเป็นแน่ จงใจพูดเกินจริง เพื่อที่จะได้อยู่ในค่ายทหารต่อไม่ยอมกลับมา จะได้ใช้โอกาสนี้ใกล้ชิดกับท่านอ๋อง” จือชิวพูดอย่างมั่นใจ

เหลิ่งชิงหลางเกิดโมโหและโกรธเคือง ลืมคำแนะนำของแม่จ้าวกองไว้ข้างหลังเป็นที่เรียบร้อย กัดฟันด่ากราดอย่างดุเดือด “นางแพศยาไร้ยางอาย แค่รู้วิชาแพทย์นิดหน่อยไม่ใช่หรือ? อยู่ที่จวนอ๋องไม่ยอมไปไหนก็เรื่องหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังกล้ายั่วยวนท่านอ๋องอย่างโจ่งแจ้งอีก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการท้าทายข้าชัดๆ!”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องรังเกียจนางมาตลอด เกลียดนางจนเข้ากระดูกดำ จะทำดีกับนางเยี่ยงนั้นได้เช่นไร แถมยังกล้าแย่งรังนกของคุณหนูไปให้นางกินอีก? เห็นได้ว่านางใช้สิ่งนี้เพื่อบีบท่านอ๋อง คุณหนูเจ้าค่ะ พวกเราไม่สามารถนั่งรอความตายเช่นนี้ได้นะเจ้าค่ะ

หากเหลิ่งชิงฮวนบอกอาการป่วยเกินจริง และอยู่ในค่ายทหารเป็นสิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน ได้เจอหน้าแม่ทัพทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ เมื่อวันเวลาผ่านไปนานๆ ก็จะเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ท่านแม่ทัพก็จะลืมท่านไปเลยไม่เหลือ คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านควรเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนนะเจ้าค่ะ”

เป็นอย่างที่คาดถ้าอยากประสบความสำเร็จน่านับถือ เบื้องหลังจะต้องทุ่มเทอย่างหนัก เขาถึงได้รับการสนับสนุนและความรักจากกองทัพทั้งสามแห่งในฉางอัน ได้ เป็นเพราะเขาทุ่มอย่างหนักเหนื่อยคนธรรมดาทั่วไปที่จะสามารถยืนหยัดได้

ส่วนทางด้านฉีอ๋องที่เที่ยงคืนแล้วยังไม่ยอมนอนแท้จริงแล้วเพราะว่าเขาไม่มีที่ให้นอนนะสิ

อยู่ในจวน เรือนนอนของเขาก็ถูกเหลิ่งชิงฮวนยึดไปนอน บีบบังคับให้เขาต้องไปนอนที่ห้องตำรา ในค่ายทหาร เหลิงชิงฮวนก็แย่งห้องของเขาไปเหมือนเดิม ทำให้เขาไม่มีที่ไป

ในค่ายทหารก็ไม่มีกระโจมเหลือ สุดท้ายได้แต่กัดฟันกลับไปที่ห้องของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และสั่งให้คนปูแปลนอนแบบพกพา ทนนอนขดตัวให้ผ่านพ้นคืนนี้ไป

พรุ่งนี้หากคนอื่นๆ มาถาม ก็แกล้งทำเป็นอ้างว่ามาเฝ้าดูแลรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด หากไปค้างคืนที่กระโจมคนอื่นสักคืน คนอื่นจะต้องมองตัวเองแปลกๆ แน่นอน

เหลิ่งชิงฮวนนอนหลับอย่างสบายสงบสุข ส่วนมู่หรงฉีนอนหลับอย่างอัดอั้นตันใจ

นอนพลิกไปพลิกมาอนู่นานก็ผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดตื่นขึ้นมาเห็นมู่หรงฉีนอนหลับอยู่ข้างๆ ตัวเอง รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาไหลเต็มเบ้าตา จับมือของมู่หรงฉีไว้แน่น สะอึกสะอื้นพูดอะไรไม่ออก

มู่หรงฉีรู้สึกเหงื่อตกเล็กน้อย โชคดีที่ร่างกายของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดยังอ่อนแอ ตื่นเต้นสักพักหนึ่งก็เหนื่อย เขาจึงสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้ และออกมาหาเหลิ่งชิงฮวนเพื่อตามไปตรวจดูสภาพร่างกายของเขา

เหลิ่งชิงฮวนตื่นขึ้นมานานแล้ว ประตูกระโจมถูกเปิดอยู่ภายในกระโจมว่างเปล่า มู่หรงฉีเอ่ยถามทหารที่ดูแลนางจึงทราบว่าเหลิ่งชิงฮวนหลังจากตื่นแล้วก็ตรงไปที่สนามฝึก

ผู้หญิงคนนี้ทำไมไม่รู้จักอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ในค่ายทหารแห่งนี้มีแต่พวกผู้ชายเลือดร้อน นางจะวิ่งไปที่สนามฝึกเพื่ออะไร? หรือตั้งใจจะก่อกวนความสงบงั้นหรือ?

สีหน้าของเขาบึ้งตึง ทหารอธิบายอย่างตะกุกตะกักว่า “เดิมทีหัวหน้าสองคนในค่ายรู้สึกไม่ค่อยสบายเล็กน้อย เลยเชิญพระชายาไปช่วยดูให้หน่อยขอรับ ต่อมาก็มีคนมาขอคำแนะนำจากพระชายาว่าเมื่อคืนใช้กระบวนท่าอะไรถึงล้มกองม้าสิบสามต่อหน้าผู้เฒ่าอาวุโสกั๋วกงได้ พูดไปพูดมาก็กลายเป็นการทำท่าทางให้ดู ทุกคนจึงแห่ไปที่สนามฝึกซ้อม”

มู่หรงฉีก้าวข้าฉับๆ ไปที่สนามฝึกซ้อม ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ๆ เมื่อจ้องเขม็งมองไป ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตกในทันที

เอิ่ม..ผู้หญิงคนนี้กำลังฝึกซ้อมทหารอยู่งั้นหรือ?

นี่มันกลับตาลปัตรไปแล้ว! ต้องการแย่งชิงตำแหน่งเขาหรือไงกัน!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา