ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 56

สรุปบท ตอนที่ 56 ในเมื่อเจ้ามีความสามารถล้นเหลือเช่นนี้ ทำไมถึงไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยเล่า: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา

ตอน ตอนที่ 56 ในเมื่อเจ้ามีความสามารถล้นเหลือเช่นนี้ ทำไมถึงไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยเล่า จาก ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 56 ในเมื่อเจ้ามีความสามารถล้นเหลือเช่นนี้ ทำไมถึงไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยเล่า คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายนิยาย โรแมนติค ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา ที่เขียนโดย เฉลิมพล เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ในสนามฝึกซ้อม เหลิ่งชิงฮวนถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มทหารเหมือนกับดวงจันทร์ที่ถูกล้อมรอบด้วยดวงดาวก็ไม่ปาน นางกำลังสอนศิลปะการต่อสู้สมัยใหม่ให้พวกเขาอย่างจริงจัง ด้วยท่าทางที่เข้มงวดและน่าเกรงขาม

การต่อสู้ในสนามรบ หนึ่งกระบวนท่าสามารถตัดสินชีวิตความเป็นความตายได้ ดังนั้นจำเป็นต้องทิ้งกำปั้นและขาที่ไร้ประโยชน์ ต้องใช้ประโยชน์จากอาวุธทั้งหมดที่สามารถโจมตีศัตรูได้ ไม่เพียงแต่จะใช้มีดใช้หอกที่อยู่ในมือเพียงเท่านั้น รวมไปถึงส่วนข้อศอก กำปั้น และเขาของพวกเรา ต้องทำให้ทุกส่วนของร่างกายได้ออกแรงอย่างเต็มที่ในชั่วพริบตา โจมตีเพียงครั้งหนึ่ง จะต้องทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถมีโอกาสตอบโต้กลับมาได้

นางตั้งใจแสดงท่าทางการหลบดาบด้วยมือเปล่าอย่างจริงจัง สอนทหารโดยใช้หลักการที่ว่าสี่ตำลึงปาดพันชั่งคือจะทำยังไงถึงจะชนะโดยการออกแรงเพียงน้อยนิด และทำยังไงถึงจะโจมตีคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ โดยการทำให้อีกฝ่ายคิดว่าสู้ไม่ได้เลยไม่ทันตั้งตัว

มีชายฉกรรจ์ในค่ายทหารคนหนึ่งออกมาแสดงการต่อสู้กับนาง แต่พวกเขาไม่ได้ออมมือให้เพราะเห็นนางเป็นพระชายาของฉีอ๋องแต่อย่างใด นางยกขาขึ้นมาแล้วแตะอย่างทะมัดทะแมง ดุร้ายเหมือนเสือตัวเล็กๆ ลืมความจริงที่ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ไปแล้วหรือเปล่า? หรือว่านางต้องการวางแผนแย่งชิงตำแหน่ง เข้ามาแทนที่ตัวเองอย่างนั้นหรือ?

ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักอยู่อย่างสงบเสงี่ยม หาแต่เรื่องให้หนักใจจริงๆ

มู่หรงฉีกระแอมไอด้วยความโกรธ เหล่าทหารก็รีบแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว เหลิ่งชิงฮวนก็หยุดการเคลื่อนไหวที่กำลังทำอยู่

“ข้าไม่รู้จริงๆ เลยว่า พระชายาของข้าไม่เพียงแต่จะรักษาโรคและช่วยชีวิตคนได้แล้ว แต่ยังฆ่าคนเป็นด้วยงั้นหรือ?” คำพูดที่เอ่ยออกมาก็แอบแฝงไปด้วยการจิกกัดหาเรื่อง

เหลิ่งชิงฮวนเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “หม่อมฉันเพียงแลกเปลี่ยนความรู้จากพวกเขาเท่านั้น แค่แลกเปลี่ยนทักษะการปกป้องตัวเองเท่านั้น เพราะการอยู่ในจวนฉีอ๋อง หากไม่มีทักษะการต่อสู้ คงไม่มีชีวิตรอดมาได้อยู่ถึงตอนนี้”

ทั้งสองคนพูดโต้ตอบกลับไปมา ทหารต่างพากันมองหน้ากัน เหมือนจะได้ยินถึงเสียงสัญญาณของพายุที่จะปะทุขึ้น จึงหดคอลงทันทีต่างคนต่างรีบแยกย้ายผลักกันและกันเพื่อจะออกไป

“สิ่งที่ข้าเห็นคือ เจ้ากำลังสอนพวกเขาในทางที่ผิด ในฐานะที่เป็นนักรบภายใต้กองกำลังฉีอ๋องของข้า พวกเขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนัก ต้องรู้วิธีสู้เมื่อเผชิญกับดัก รู้วิธีบุกไปข้างหน้า พวกเขามีอาวุธแหลมคมอยู่ในมือ สามารถแทงทะลวงเข้าไปที่หน้าอกของศัตรูได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ทำตัวเหมือนพวกอ่อนปวกเปียก ปกป้องตัวเองมือเปล่า”

เหลิ่งชิงฮวนยิ้มเยาะเย้ย “ท่านฉีอ๋องจะหยิ่งผยองเกินไปหรือเปล่า วรยุทธ์ของท่านนั้นไม่สามารถทำลายลงได้ก็จริงๆ แต่ว่าท่านไม่สามารถใช้มาตรฐานของท่านมาตัดสินผู้อื่น ท่านเองก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า พวกเขาจะมีอาวุธอยู่ในมือตลอดเวลาและสามารถชนะตลอดไม่มีทางพ่ายแเพ้”

“ในขณะที่ท่านกำลังสอนพวกเขาให้โจมตี ก็จำเป็นต้องสอนให้พวกเขารู้จักวิธีป้องกันตัว ท่านคงไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมอย่างที่รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเคยเจอเกิดขึ้นกับทหารคนอื่นๆ หรอกจริงไหมเพคะ”

“แค่อาศัยทักษะวรยุทธ์ไม่ได้เรื่องเมื่อสักครู่นี้นะหรือ?”

“เทคนิคการต่อสู้แม้จะดูเรียบง่าย แต่การต่อสู้สมัยใหม่เป็นการหลอมรวมแก่นแท้ของศิลปะการต่อสู้แบบโบราณ ไม่จำเป็นต้องฝึกในฤดูหนาวที่หนาวจัด และไม่ต้องไปฝึกในฤดูร้อนที่ร้อนที่สุด ไม่ต้องใช้เวลาหลายปีในการเสริมสร้างทักษะพื้นฐาน มันสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วและดึงศักยภาพสูงสุดในร่างกายมนุษย์ที่แฝงเอาไว้ออกมา ผลลัพธ์ของการโจมตีออกมาเป็นสองเท่า”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำโต้แย้งอย่างมีเหตุมีผลของเหลิ่งชิงฮวน มู่หรงฉีจ้องเขม็งไปที่นาง และหัวเราะเหอะๆ เล็กน้อย “เหตุใดเก๋อเซี่ยไม่โผบินไปตามสายลม พุ่งทะยานไปไกลเก้าหมื่นลี้กันเล่า?”

เหลิ่งชิงฮวนตะลึงไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจว่ากำลังการโต้เถียงเรื่องศิลปะการต่อสู้กันอยู่ดีๆ เหตุใดเขาจึงเปลี่ยนมาพูดถึงบทกวีขึ้นมาเสียล่ะ?

นางจ้องไปที่ดวงตาที่ผนึกไปด้วยความไร้เดียงสาคู่นั้น แล้วถามด้วยความงุนงง “หมายความว่าอะไร?”

มู่หรงฉีค่อยๆ ชะโงกตัวลงไป พร้อมกับยิ้มอย่างเย้ยหยันที่มุมปาก และค่อยๆ เอ่ยทีละคำออกมาจากริมฝีปาก “เจ้ามีความสามารถขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยเล่า?”

แม่งเอ๊ย ก็แค่เปลี่ยนวิธีพูดเป็นการพูดอ้อมๆ เพื่อด่าคน!

เหลิ่งชิงฮวนกัดฟัน และหันหลังเดินจากไป

มู่หรงฉีได้ชัยชนะอย่างไม่เต็มใจนัก อารมณ์ดีสุดๆ หัวเราะในลำคอเบาๆ “รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฟื้นแล้ว ดูเหมือนสภาพจิตใจจะไม่เลวเลยนะ”

เหลิ่งชิงฮวนหหมุนตัวกลับและตรงไปที่ห้องของรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อไปตรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด หลังจากสอบถามอาการเรียบร้อยแล้ว ก็แขวนถุงน้ำเกลืออีกครั้ง และสั่งกำชับเรื่องที่ต้องพึงระวังในการรักษา

เมื่อตอนที่ออกมา ก็เจอมู่หรงฉียืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู เขาเอ่ยถามนาง “หิวหรือไม่?”

เขารู้จักเพียงแค่สามคำนี้เท่านั้นหรือยังไง

เหลิ่งชิงฮวนส่ายหัวปฏิเสธ “ตอนนี้หม่อมฉันจะกลับไปที่จวน”

มู่หรงฉีไม่ยินยอม “หากรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดเกิดเป็นอะไรกะทันหันขึ้นล่ะ?”

เหลิ่งชิงฮวนเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิด “ตอนช่วงกลางวันข้าจะรีบกลับมา”

“มีธุระอะไรสามารถมอบหมายให้พวกทหารไปทำก็ได้”

“ไม่ได้ ต้องกลับไปจัดการด้วยตัวเอง” เหลิ่งชิงฮวนยังขอร้องด้วยความดื้อรั้น

มู่หรงฉีมองนางด้วยสายตาจริงจัง “ถ้าเช่นนั้นบอกเหตุผลให้ข้าฟังสักหนึ่งข้อ”

เหลิ่งชิงฮวนโกรธจนอยากจะด่าถึงบุพการีออกมา ยังจะมีเหตุผลอะไรได้อีก? นางอยากจะอาบน้ำ!

ในตอนเช้าตั้งใจตื่นมาแต่เช้า อยากไปล้างตัวที่ริมแม่น้ำที่ไปเมื่อคืน แต่เมื่อไปถึงก็มีทหารหลายนายที่ตื่นมาฝึกกันตั้งแต่เช้ามายึดครองใช้แม่น้ำเสียแล้ว มีทั้งมาล้างขา มีทั้งล้างหน้าล้างตา แล้วก็มีคนแอบหันหลังปัสสาวะในพงหญ้า ตอนนั้นนางจึงกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงฉาน

โชคยังดีคนที่มู่หรงฉีส่งมาค่อยรับใช้นาง ได้ถืออ่างน้ำสะอาดๆ มาให้นางล้างหน้าล้างตา แต่ตอนนี้หลังจากได้ผ่านการฝึกต่อสู้มา ก็รู้สึกว่าร่างกายเหนียวเหนอะหนะไปหมดเลยทนต่อไปไม่ไหว

มีเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น สบาย

“นางบอกว่านางเป็นพระชายารองของท่านขอรับ”

เหลิ่งชิงหลาง? ไล่ตามมาถึงที่นี่เลยหรือ? ในใจของเหลิ่งชิงฮวนเกิดรู้สึกเย้ยหยันขึ้นมา เกรงว่ารังนกเมื่อวานนี้จะทำให้นางอยู่สงบนิ่งไม่ลงเป็นแน่ กลัวว่าตัวเองจะได้อยู่ตามลำพังกับมู่หรงฉี และเป็นภัยคุกคามต่อนาง ดังนั้นจึงอดใจรอไม่ไหวที่จะวิ่งมาดูความจริง

นางจึงเงี่ยหูฟัง

เห็นได้ชัดว่ามู่หรงฉีเองก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นางมาทำอะไรที่นี่กัน?”

ทหารเองก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร “นางบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนสำคัญมาก ถ้าหากพวกข้ากล้าเข้ามาขัดขวาง ทำให้เรื่องล่าช้าออกไป คงไม่อาจแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาได้ไหวเป็นแน่”

มู่หรงฉีหันหน้าไปทางห้องที่อยู่ข้างหลังเขา และเกิดลังเลใจเล็กน้อย “ให้นางเข้ามา”

ทหารวิ่งเหยาะๆ ออกไป เหลิ่งชิงฮวนไหนเลยจะยังมีอารมณ์อาบน้ำต่อกัน? รีบลุกขึ้นมา นำผ้าเช็ดตัวมาเช็ดน้ำตามร่างกายให้แห้ง ไม่นานก็ได้ยินเสียงของเหลิงชิงหลางที่หวานหยาดเยิ้มดังมาจากข้างนอก “ท่านอ๋อง ในที่สุดหม่อมฉันก็ได้พบท่านแล้ว”

มู่หรงฉีถามด้วยความเป็นห่วง “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ที่จวนมีเรื่องสำคัญอะไรงั้นหรือ?”

ทันทีที่เหลิ่งชิงหลางได้เห็นมู่หรงฉี ก็แสดงสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจออกมา “ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญหม่อมฉันมาหาไม่ได้หรือเพคะ? หม่อมฉันคิดถึงท่านเพคะ”

“ที่นี่คือค่ายทหาร ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้หญิงที่โตๆ แล้วอย่างเจ้าจะมาได้?”

“แต่ว่าพี่สาวก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน อีกทั้งยังพักค้างคืนอีกด้วย ท่านไม่กลับจวนเป็นเวลานาน เมื่อวานก็พาพี่สาวออกจากจวนมาอย่างเอิกเกริก ชิงหลางกังวลใจอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น นอนไม่หลับทั้งคืน พอเช้าตรู่จึงรีบมาพบท่าน พอเจอหน้ากันท่านกลับเอ่ยตำหนิหม่อมฉันเสียได้”

ทั้งดูน่าสงสาร ทั้งดูน้อยอกน้อยใจ เหลิ่งชิงฮวนที่ได้ฟังอยากจะอาเจียนออกมา แต่พวกผู้ชายดันตกหลุมพรางลูกไม้แบบนี้เสียได้

มู่หรงฉีลดน้ำเสียงให้อ่อนลง “เหลิ่งชิงฮวนมาที่นี่เพื่อรักษาอาการเจ็บและช่วยชีวิตคน รอให้รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดพ้นขีดอันตรายแล้ว ก็จะส่งนางกลับจวนไป”

“ท่านอ๋องโกหก เห็นชัดๆ ว่ากำลังไม่สนใจชิงหลาง ในวังหลวงก็มีหมอหลวง แล้ววิชาแพทย์ของพวกท่านก็สูงกว่าพี่สาวไม่รู้ว่ากี่เท่า ทําไมต้องเป็นพี่สาวด้วยเพคะ?" เหลิ่งชิงหลางก้มหน้าก้มตา ทำให้ดูเศร้าใจเล็กน้อย "หม่อมฉันกับท่านอ๋องไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแล้ว ท่านอ๋องมีพี่สาวอยู่ด้วยก็คงไม่คิดถึงหม่อมฉันแล้วใช่ไหมเพคะ?”

ทั้งสองคนกำลังเกี้ยวพาราสีกันอยู่ข้างนอก ต่างคนต่างพูดความในใจออกมา และยังว่าพาดพิงมาถึงเหลิ่งชิงฮวนอีกด้วย

เหลิ่งชิงฮวนยังคงไม่หยุดมือ ตอนนี้ได้สวมเสื้อตัวในเรียบร้อยแล้ว นางเช็ดผมให้แห้ง และมองไปที่ชุดคลุมตัวยาวที่ไว้เปลี่ยนลงอาบน้ำของมู่หรงฉีที่ทหารจัดเตรียมมาให้ หัวใจเต้นรัวเกิดความคิดชั่วร้ายลอยขึ้นมาในหัว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา