ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 551

น่าเยี่ยไป๋ถูกเมินเฉยใส่และในที่สาธารณชนเช่นนี้ตนเองยังไม่สามารถควบคุมน้องสาวของตัวเองเอาไว้ได้ ทำให้สีหน้ายิ่งอึมครึมขึ้นไปอีก

“ท่านอ๋องฉีกับพระยาชาฉีเป็นคู่สามีภรรยาที่มีความรักกันอย่างลึกซึ้ง แน่วแน่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำไมเจ้าถึงต้องหาเรื่องให้ลำบากใจด้วยเล่า? บุรุษดี ๆ ในฉางอันมีต้องมากมาย พี่ชายคนนี้จะเลือกหาคนดี ๆ ให้เจ้า จะต้องไม่ด้อยไปกว่าท่านอ๋องฉีอย่างแน่นอน”

น่าจาอี๋นั่วพูดจาเหยียดหยันกลับอย่างเจ็บจี๊ด “เมื่อก่อนไม่ใช่ท่านพี่หรอกหรือที่เคยสอนอี๋นั่ว? หากชอบสิ่งใดต้องต่อสู้แย่งชิงมาให้ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม แม้กระทั่งต้องใช้การบังคับหรือใช้อำนาจบีบก็ต้องเอามาให้ได้ อี๋นั่วจดจำคำสั่งสอนของท่านพี่เสมอมาและยึดถือท่านเป็นแบบอย่าง”

คำพูดนี้ทำเอาน่าเยี่ยไป๋ถึงกลับสะอึกพูดอะไรไม่ออก หากในตอนนั้นเขาไม่ยืนกรานและฟังคำเกลี้ยกล่อมของน่าจาอี๋นั่วและไม่ปฏิเสธที่จะปล่อยเหลิ่งชิงฮวนไป หายนะในครั้งนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้น

เหลิ่งชิงฮวนก้มศีรษะลงหัวเราะแปลก ๆ

บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เธอรู้จักความสัมพันธ์ของพวกเขาสองพี่น้องนี้ดีกว่าใคร ๆ น่าจาอี๋นั่วเปรียบเสมือนแม่ไก่ที่เพิ่งฟักลูกไก่ออกมา แม้ว่าจะเสี่ยงชีวิตเฉียดตายแค่ไหนก็จะปกป้องน่าเยี่ยไป๋ให้ปลอดภัยให้ได้ แต่วันนี้กลับไม่ไว้หน้าสักนิดดูเหมือนว่าจะเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นเสียแล้ว

น่าจาอี๋นัวมองไปที่เหลิ่งชิงฮวนอย่างท้าทายพร้อมเอ่ยออกมาทีละคำ “มาแข่งกับข้า ถ้าสมมุติว่าท่านชนะข้า ข้าจะเป็นฝ่ายถอยออกมา แต่หากสมมุติว่าข้าชนะท่าน ท่านต้องเป็นฝ่ายถอยไป เป็นอย่างไร?”

“ไม่อย่างไรหรอก?” เหลิ่งชิงฮวนปฏิเสธโดยไม่คิดสักนิด “ที่นี่คือฉางอัน กฎของเกมไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะเป็นคนกำหนดได้ และท่านอ๋องฉีก็ไม่ใช่ของที่ข้ากับท่านมาใช้เดิมพันไม่แต่งก็คือไม่แต่ง ไม่ลงรอยกันก็คือไม่ลงรอย ต่อให้ท่านเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา ทำไมข้าต้องยอมรับคำท้าทายจากท่านด้วย?”

“ท่านกลัวหรือ?”

เหลิ่งชิงฮวนยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ในเมื่อองค์หญิงอี๋นั่วมีความมั่นใจเช่นนี้ เหตุใดต้องมาขอให้คนฉางอันอย่างข้ารักษาโรคหัวใจขององค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์กันเล่า? เจ้าก็รักษาอาการป่วยให้หายดีด้วยตนเองไปเลยสิ”

น่าจาอี๋นั่วสะอึกทันที “ทุกคนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง เหตุใดต้องมาพูดเหมารวมด้วย?”

“ในเมื่อองค์หญิงอี๋นั่วเข้าใจในจุดนี้ ทำไมต้องมาแข่งขันหาคนเก่งกว่าด้วยเล่า? ต้องขออภัยที่ไม่อาจเข้าร่วมด้วยได้”

เสี่ยวอวิ๋นเช่อถอนหายใจอย่างเศร้าใจ “ท่านแม่ของข้าเคยกล่าวเอาไว้ว่า นางไม่ชอบเด็กที่ชอบเถียง ดังนั้นข้าจึงไม่อยากได้ท่านเป็นภรรยาแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่มาทำให้ท่านแม่ของข้าโมโหและพาลมาโกรธเคืองใส่ข้าด้วย มิน่าล่ะทำไมท่านถึงแต่งไม่ออกเสียที”

ฝีปากที่คมคายเหมือนดั่งมีดของเจ้าหนูน้อยของตัวเองพัฒนามากขึ้นใช้ได้เลยทีเดียว? เหลิ่งชิงฮวนลูบศีรษะของเขาและยิ้มอย่างเอ็นดู “เด็กดี เดี๋ยวแม่จะหาคนที่เข้าใจผู้อื่นและมีเหตุมีผลให้เจ้าแต่งงานด้วย”

น่าจาอี๋นั่วไม่มีทางยอมแพ้จึงหันหน้าไปทางฮ่องเต้ที่กำลังชมละครอยู่และทูลให้ทรงทราบ “น่าจาอี๋นั่วขอให้ฝ่าบาทช่วยตัดสินพระทัยให้ด้วยเพคะ หม่อมฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากพระชายาฉี ฝ่าบาทคงจะไม่ตระหนี่ใช่หรือไหมเพคะ?”

ในที่สุดฮ่องเต้เฒ่าก็มีโอกาสเสียที เขาดูคึกคักไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจสักนิด “ขอเพียงปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนกันอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถขัดเกลาให้ดียิ่งขึ้นไปอีกได้ หากสามารถเติมเต็มจุดด้อยของกันและกันได้ ข้าคิดว่าทำอย่างนั้นย่อมได้”

น่าจาอี๋นั่วทนต่อไปไม่ไหวรีบเอ่ยออกมาในทันที “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”

ฮ่องเต้หันพระพักตร์ไปมองชิงฮวน “เห็นแก่ที่องค์หญิงอี๋นั่วยอมที่จะมาขอเจ้าเป็นอาจารย์เช่นนี้ พระชายาฉีก็จงฝืนใจทำเสียหน่อยเถอะน่า ช่วยกางแขนรับลูกศิษย์คนนี้เอาไว้เถอะ?”

......

เหตุใดฮ่องเต้ท่านนี้ถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้? องค์หญิงเขาบอกว่าอยากจะศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ทำไมคำพูดที่พระองค์ตรัสออกมาถึงได้กลายเป็นกราบไหว้เป็นอาจารย์ไปได้ล่ะ?

น่าจาอี๋นั่วรู้สึกไม่มีอะไรจะพูดกับพฤติกรรมที่เล่นลิ้นของฮ่องเต้ที่ทำเพื่อปกป้องคนของตนเอง ดังนั้นจึงได้แต่ฝืนกลืนความโมโหลงคอแล้วพูดว่า “สมมุติว่าพระชายาฉีสามารถเอาชนะอี๋นั่วจนทำให้อี๋นั่วยอมเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจได้ ถ้าเช่นนั้นอี๋นั่วยินดีจะเคารพกราบพระชายาฉีเป็นอาจารย์”

ลูกศิษย์คนนี้เหลิ่งชิงฮวนไม่กล้ารับเอาไว้ มิฉะนั้นวันใดวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วอาจจะถูกลูกศิษย์ปีนเกลียวทำลายล้างบรรพจารย์ได้ ดูตัวอย่างเช่นครั้งนั้นที่นางกระทำการล้มล้างลักธิของนักบุญหญิง

ฮ่องเต้ตัดสินใจด้วยตัวเองทันที “เรื่องนี้ก็เอาตามนี้ ทักษะทางการแพทย์มีไว้เพื่อประโยชน์สุขของราษฎร์ พระชายาควรเผยแพร่แบ่งปันออกมา ไม่ควรจะเก็บกักเอาไว้เช่นนี้ ถ้าสมมุติว่าเจ้าเป็นฝ่ายชนะขึ้นมา น่าจาอี๋นั่วย่อมต้องก้มหัวลงกราบเคารพเจ้าเป็นอาจารย์ หากเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ขึ้นมา เรื่องการแต่งงานของฉีเอ๋อร์ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของข้าแล้ว”

เหลิ่งชิงฮวนถึงกับพูดอะไรไม่ออก ตัวเองที่เป็นเจ้าของเรื่องยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเลย ทำไมเรื่องนี้ถึงสรุปไปแล้วล่ะ? มีสิทธิ์อะไรกัน?

รู้มานานแล้วว่าฮ่องเต้เฒ่าพระองค์นี้ไม่พอใจในความเผด็จการของตนเองที่ครอบครองมู่หรงฉีเอาไว้คนเดียว แค้นใจที่ไม่ยอมให้แต่งภรรยาเพิ่มและมีอนุใหม่ ทำให้เรือนหลังเต็มไปด้วยสวนดอกไม้ที่งดงาม ดังนั้นจึงชอบหาเรื่องให้ตัวเองทั้ง ๆ ที่ไม่เรื่องจะให้หาเรื่อง เจตนาฟื้นฝอยหาตะเข็บ วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่น่าจาอี๋นั่วส่งโอกาสมาให้

มู่หรงฉีลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่อ ลูกรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง...”

ฮ่องเต้เฒ่าเป็นผู้ที่ไม่มีความอดทนในการฟังคำอธิบายลูกชายของตนเอง คราวนี้ก็ถูกขัดจังหวะเอาไว้อีกตามเคย “เจ้าไม่มีความมั่นใจในตัวชิงฮวนหรอกหรือ?”

“ไม่ใช่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ลูกก็ไม่ทางแต่งงานอีกอย่างแน่นอน ดังนั้นการแข่งในขันนี้จึงไม่มีความหมายเลยสักนิด”

“ฉางอันของข้าไม่เคยยอมให้คนนอกมาท้าทายได้ ดังนั้นการแข่งขันในครั้งนี้ ชิงฮวนไม่เพียงแต่ต้องเข้าร่วมแต่ยังต้องชนะอีกด้วย”

“แต่...”

“ไม่จำเป็นต้องพูดอีกเอาตามนี้นั่นแหละ”

เหลิ่งชิงฮวนดึงชายเสื้อของมู่หรงฉีและส่ายศีรษะไปมาให้เขา

แข่งก็แข่งสิ เหลิ่งชิงฮวนผู้นี้มีที่พึ่งพา ทำไมจะต้องเกรงกลัวใครหน้าไหนด้วยเล่า?

ลูกศิษย์อย่างนางถึงเธอจะไม่กล้ารับไว้ แต่การทำให้น่าจาอี๋นั่วต้องยอมคุกเข่าลงพื้น ก้มหัวคำนับยกน้ำชาไหว้ตนอย่างเชื่อฟังได้ เช่นนั้นก็สามารถทำให้ฉางอันหลุดพ้นจากการดูหมิ่นและได้หน้าได้ตา ถือว่าเป็นการดีที่จะลบล้างความน่าเกรงขามของคณะทูตของหนานจ้าวลงได้!

สู้เพื่อเกียรติยศ เพื่อปกป้องผู้ชายของเรา

เหลิ่งชิงฮวนยิ้มเล็กน้อย “ขอยืมคำพูดขององค์หญิงอี๋นั่วมาหนึ่งประโยคที่ว่า ทุกคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจะแข่งขันกันอย่างไร? แล้วจะรู้ผลแพ้ชนะได้อย่างไร? จะแข่งขันอย่างไรถึงจะถือว่าเป็นไปอย่างยุติธรรม?”

ดูเหมือนน่าจาอี๋นั่วจะเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีอยู่นานแล้ว “สิ่งที่ข้าเรียนรู้มาตลอดชีวิตก็คือการใช้หนอนพิษกู่ ส่วนพระยาชาฉีก็มีจิตใจอ่อนโยนและมีเมตตาสูง ได้ยินมาว่าเคยเรียนศาสตร์การสะกดหนอนกู่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำการฆ่าคนส่วนท่านก็ทำการช่วยชีวิต ข้าจะวางยาพิษหนอนกู่สามครั้ง และให้เวลาท่านหนึ่งก้านธูป ขอเพียงท่านสามารถรักษาชีวิตคนผู้นี้เอาไว้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าท่านชนะไป หากเป็นในทางกลับกัน ก็หมายถึงท่านเป็นฝ่ายแพ้”

“เอาชีวิตคนมาเดิมพัน หรือว่าองค์หญิงอี๋นั่วไม่รู้สึกว่ามันจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อยหรือ?”

“ในคำบรรญัติความของข้าน่าจาอี๋นั่ว ไม่มีคำว่าโหดเหี้ยม เทคนิคของการเลี้ยงหนอนกู่ เดิมทีก็คือปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมจะอยู่รอด นี่คือกฎของการอยู่รอดของมนุษย์ ดังนั้นหากพระยาชาฉีแข็งแกร่งกว่าน่าจาอี๋นั่ว ถ้าเช่นนั้นข้าย่อมยอมแพ้อย่างยินดีและเลื่อมใสอยู่แล้ว”

เหลิ่งชิงฮวนไม่มีอะไรจะพูด การเลี้ยงหนอนกู่ก็เป็นเช่นนี้จริง เอาแมลงพิษหลายร้อยตัวมาอยู่รวมกัน มันจะกัดกินกันและกัน ตัวที่เหลือรอดชีวิตมาได้ก็จะเป็นตัวกู่ น่าจาอี๋นั่วผู้นี้คงจะเห็นการต่อสู้ที่โหดร้ายแบบนี้มามากเกินไป ดังนั้นจึงเห็นว่าชีวิตมนุษย์ไร้ค่าและเหมือนผักเหมือนปลา

และสิ่งที่ตัวเองต้องทำก็คือการช่วยชีวิตคนผู้นี้จากเงื้อมมือของนาง และทำให้นางมีหนทางรอดชีวิต จริง ๆ แล้วกติกาการแข่งขันในครั้งนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

ก็เหมือนกับว่าตนเองซ่อนของสิ่งหนึ่งเอาไว้และให้คนอื่นไปค้นหา นางนำหลักการเช่นนี้มาตัดสินผลแพ้ชนะ

“เคล็ดวิชาพิษกู่มีเป็นพันวิชา และมีสิ่งลึกลับเกินขอบเขตของการรับรู้ของมนุษย์ อีกทั้งยังมีพิษที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาอีกด้วย การใช้จุดแข็งของตัวเองเพื่อโจมตีของจุดอ่อนของอีกฝ่าย ช่างเป็นกฎการแข่งขันที่ค่อนข้างได้เปรียบกับองค์หญิงอี๋นั่วเกินไปหน่อยไหม”

“ข้าขอรับประกัน หนอนพิษที่จะใช้ไม่ใช่วิชามาร มียาสามารถแก้พิษได้และเป็นยาที่หาได้ทั่วไปอีกด้วย”

เหลิ่งชิงฮวนเอ่ยอย่างเอือมระอา “ได้ ข้าเป็นเจ้าบ้าน ท่านเป็นแขก เอาอย่างที่ท่านว่าละกัน”

มู่หรงฉีรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย “เจ้าไม่กลัวว่าจะแพ้แล้วเสียข้าไปอย่างนั้นหรือ?”

“แม้ว่าท่านจะไม่มีความเชื่อมั่นในทักษะการแพทย์ของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็มั่นใจในตัวท่าน ต่อให้หม่อมฉันแพ้ก็ตาม ท่านก็จะไม่มีทางทิ้งหม่อมฉันอย่างแน่นอน จะต้องทำให้นางรู้ว่าเป็นไปไม่ได้และถอนตัวไปซะ ใช่หรือไม่?”

มู่หรงฉีถอนหายใจเบา ๆ “คำพูดนี้ทำให้ข้ารู้สึกสับสนว่าจะรู้สึกดีใจหรือว่าจะเสียใจดี งั้นข้าจะถือว่าเจ้าชมข้าก็แล้วกัน”

เหลิ่งชิงฮวนชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “เดิมทีก็จะชมท่านอยู่แล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา