ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 59

เหลิ่งชิงฮวนกลับไปที่จวนอ๋องด้วยความอาย เอาของบำรุงที่ไทเฮาประทานให้มาคัดแยก และวางแผนที่จะส่งไปให้พี่ชายในวันถัดไป

ข้างในมีโสมคุณภาพดีสองกล่อง เหลิ่งชิงฮวนอยากบำรุงเลือด จึงเดินเข้าไปดูรอบๆห้องครัว

ไม่มีใครดูแลครัว ถ่านดับไปนานแล้ว ห้องครัวรกร้าง

วันนี้หลิงกวนเอ๋อร์ซื้อนกพิราบจากข้างนอกมาสองตัว ทำความสะอาดพวกมันเรียบร้อยแล้วและวางบนเตา

เหลิ่งชิงฮวนลูบท้อง “โตวโตว พวกเราทำซุปนกพิราบตุ๋นโสมกินกันไหม แบ่งให้พี่ชายครึ่งหนึ่ง พวกเราก็กินบำรุงด้วย”

โตวโตวรู้สึกอายเล็กน้อย“แต่บ่าวทำไม่เป็นเจ้าค่ะ รอแม่หวังมาก่อน นางไปรีดผ้าที่ด้านหน้า”

“ตุ๋นซุปง่ายๆ แค่ใส่น้ำเข้าไป เติมเกลือนิดหน่อย เปิดหม้อตุ๋นสักพักก็เสร็จแล้ว”

โตวโตวคิด ก็น่าจะประมาณนั้น แม่หวังเวลาทำงานมักขี้เกียจ และยังชอบไปคุยกับพวกผู้หญิงบ้านโน้นบ้านนี้บ้านนั้นไม่รู้จักจบ รอนางกลับมา ไม่รู้เมื่อไหร่

ทำก็ทำซิ นางถลกแขนเสื้อขึ้น “งั้นบ่าวก่อไฟก่อน”

ทั้งสองคน คนหนึ่งก่อไฟ คนหนึ่งล้างหม้อ พวกเขายุ่งมาก เปลวไฟร้อนระอุ

“คุณหนูเจ้าคะ วันนี้ถ่านดูเหมือนจะชื้น จุดไม่ติด” โตวโตวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับตาที่บวมแดง บนใบหน้ามีเขม่าดำและขาว

เหลิ่งชิงฮวนยังดีที่มีทักษะในการใช้ชีวิตเล็กน้อย จึงพูดอย่างรังเกียจ “โง่จริง เจ้าจุดไฟที่ถ่านโดยตรง แน่นอนล่ะว่าจุดไม่ติด ต้องใช้ฟืนมาจุดไฟ”

โตวโตวเดินรอบๆ ก็หาไม่เจอสักที “ปกติแม่นมเตียวจะเฝ้าเตาบ่อยๆ ดูเหมือนจะไม่เคยดับเลยนะคะ ในครัวกระทั่งเชื้อฟืนมาจุดไฟยังไม่มีเลยเจ้าค่ะ”

เหลิ่งชิงฮวนยกมือขึ้นแล้วชี้ไปลวกๆ “ในห้องตำรามีตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”

“แม่นมเตียวเป็นห่วงว่าคุณหนูจะทำให้ตำราของท่านอ๋องเสียหาย จึงปิดประตูไปตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ”

เหลิ่งชิงฮวนยืดเอวขึ้น กลิ่นเลือดของนกพิราบที่ตกค้างอยู่ในตอนนี้ทำให้เธอคลื่นไส้เล็กน้อย “ง่ายเลย ข้าจะงัดกุญแจออก มู่หรงฉีเก็บตำราไว้ตั้งเยอะ มันแค่งานศิลปะที่วางประดับเอาไว้ หายไปสองสามเล่มท่านอ๋องไม่รู้หรอก” โตวโตวก็รู้สึกว่าคุณหนูพูดมีเหตุผล ห้องเต็มไปด้วยตำรา ตัวเองดูตัวตำราที่มีขนาดเล็กมากแล้วยังเวียนหัว ดูชั่วชีวิตยังดูไม่หมด

ทั้งสองรวมตัวกัน เดินไปที่หน้าประตูห้องตำรา มองไปที่แม่กุญแจทองเหลือง และเหลือบมองไปยังหน้าต่างที่เปิดอยู่ เหลิ่งชิงฮวนใช้มือพิงขอบหน้าต่าง กระโดดทีเดียวก็เข้าไปในห้อง ในห้องเก็บกวาดอย่างสะอาด ไม่มีไรฝุ่น ดูแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่นมเตียว

เธอคลำไปรอบๆ ชั้นตำรา ส่วนใหญ่เป็นตำราประวัติศาตร์ตำราสงคราม และที่ด้านมุมขวา ยังมีกองตำราบทกวีนิพนธ์

พวกบทประพันธ์วรรณกรรมมู่หรงฉีไม่น่าจะชอบตั้งแต่แรกเห็น

เธอสุ่มหยิบตำราเก่าร้อยด้ายที่ปกไม่สมบูรณ์ มีบันทึกด้วยลายมือเหลือแค่สองตัวอักษร เธอพลิกดู แต่มันเป็นแค่บทกวีทั่วไป จำได้ว่าที่บ้านเกิดก็มีเก็บตำราแบบนี้ไว้ แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่ตำราล้ำค่าหายากอะไร

เล่มนี้ล่ะ เหลิ่งชิงฮวนหยิบตำรากลับไปทางเดิม ส่งให้โตวโตว

โตวโตวไม่รู้จักตำรา แต่ยังไม่ค่อยวางใจ “ตำราดูเก่าและขาดขนาดนี้ ท่านอ๋องยังเก็บไว้ จะไม่ใช่ตำราหายากเหรอเจ้าคะ”

เหลิ่งชิงฮวนพูดอย่างเหยียดหยาม “ดูก็รู้ว่าเป็นตำราที่มีไว้เอาหน้า นี่มันก็แค่ตำราๆ พี่ชายของข้าท่องได้ขึ้นใจ”

โตวโตวจึงวางใจ ฉีกออกเป็นสองซีก แล้วโยนตรงเข้าไปในเตาครึ่งนึง

นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่จุดไฟในเตา ไม่รู้เทคนิคใดๆ เมื่อเห็นไฟลุกโชน พอเห็นว่างเปล่า ก็โยนกองถ่านทั้งหมดเข้าไป เปลวไฟก็ดับทันที จากนั้นก็มีควันดำพวยพุ่งออกมาจนเต็มห้อง

ทั้งสองคนโกลาหลวุ่นวาย

“โตวโตว เจ้าจะฆาตกรรมกันเหรอ เร็ว รีบเอาหม้อตั้งข้างบนบังควันไว้!”

“บังไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้าใช้กระบอกไม้ไผ่นี้เป่าไฟข้างล่าง ดูว่าไฟยังติดอยู่ไหม ถ้ายังติดไฟ แปลว่าไม่มีควันแล้ว”

“เปล่าประโยชน์เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวถือหม้ออยู่ คุณหนูเอาตำราที่เหลือวางบนถ่าน ให้ติดเชื้อไฟขึ้นมาอีกซิเจ้าคะ”

“ตำราอยู่ไหน”

เหลิ่งชิงฮวนลืมตาไม่ขึ้นเพราะโดนควัน จึงคลำไปด้านหลังของโตวโตว ทันใดนั้น ก็คลำโดนของแข็งกระด้าง เหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขยับเขยื้อนได้

เธออึ้งไป นี่มันอะไรหว่า

โตวโตวที่กำลังเป่าไฟอยู่ ยัดตำราที่เหลืออีกครึ่งเล่มใส่ในอ้อมแขนของเธอ “ตำราอยู่นี่เจ้าค่ะ”

เหลิ่งชิงฮวนมือหนึ่งคว้าตำรา อีกมือขยี้ตาและเงยหน้าขึ้นมอง น้ำตาไหลพราก มู่หรงฉียืนตระหง่านจ้องนางจากด้านบน มือข้างที่คว้าของแข็งไว้คือรองเท้าของเขานั่นเอง

ราวกับตัวเองโดนลวกก็มิปาน รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็รีบหดมือกลับ วางแผนว่าจะอาศัยกลุ่มควันหนาทึบหายตัวไป

วันนี้มู่หรงฉีกำลังฝึกดาบอยู่ที่ลานบ้าน เมื่อเขาได้ยินทหารอารักขามองซ้ายมองขวาไปที่ลานหลัก และยังกระซิบกระซาบวิจารณ์ “ตรงโน้นเหมือนมีไฟลุก ทำไมมีควันเยอะขนาดนี้”

“ดูแล้วเหมือนจะเป็นตำหนักฉาวเทียน รีบไปดู อย่าให้เป็นห้องตำราของท่านอ๋องเลย”

เขาเก็บดาบยาวในมือ และแค่หันหน้าไปมอง ก็เห็นกลุ่มควันหนาทึบพวยพุ่งขึ้นจากหลังคาของลานหลัก จากนั้นก็ถูกลมพัดหายไปอย่างรวดเร็ว

เขาตกใจมาก รีบกระโดดขึ้นทันที และรีบไปที่ตำหนักฉาวเทียน แล้วก็เห็นควันสีดำในห้องนี้ เงาคนยังเห็นไม่ชัด แต่ว่า ได้ยินเสียงกลัวจนลนลานของผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนั้น

เขาใจเต้นแรง บุกเข้าไปทันทีอย่างไม่ลังเล สภาพข้างในกับภาพที่คิดอยู่ในหัวไม่เหมือนกันเลยสักนิด ไม่มีเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ มีเพียงผู้หญิงสองคนที่รนหาที่ตาย

ในควันที่ทำให้สำลัก เหลิ่งชิงฮวนก้มลง และคลำอยู่กับพื้น “ตำราอยู่ไหน”

เขาไม่เข้าใจ สมองของนางมีปัญหาหรือไง ดวงตาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ยังมีแก่ใจจะอ่านตำรา? เขาก้าวไปข้างหน้า ผู้หญิงคนนั้นคว้าขาเขาไว้หมับ

เขาก้มตัว และใช้มือใหญ่ของเขาควานหา และคว้าปกเสื้อของเหลิ่งชิงฮวนไว้ จากนั้นก็เหมือนกับอุ้มลูกเจี๊ยบ และโยนเหลิ่งชิงฮวนออกไปจากห้องครัวทันที

เหลิ่งชิงฮวนเดินโซเซไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนที่จะหยุดนิ่ง ยังไม่ทันเปิดปาก ก็สูดอากาศบริสุทธิ์ลงไปสองครั้ง จากนั้นไอออกมาสองครั้ง

“เจ้าอยู่อย่างสงบๆ สองสามวันไม่ได้เหรอ” มู่หรงฉีพูดอย่างมีน้ำโห

เหลิ่งชิงฮวนเงยหน้าขึ้น น้ำตาได้ชะล้างคราบเขม่าดำบนใบหน้าซึ่งนางได้ถูอย่างออกรสชาติ ทำให้มุมปากเขาชักกระตุก ชั่วขณะนั้นเกือบปล่อยขำออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

“หม่อมฉันไม่สงบยังไงเหรอเพคะ หม่อมฉันจะก่อเตาไฟด้วยตัวเองเพื่อทำอาหารแค่ก็นั้น”

“นี่เจ้าเรียกทำอาหารเหรอ ข้าว่าเจ้าจะเผาบ้านของข้าให้วอดเสียมากกว่า”

“จุดไม่ติด!” เหลิ่งชิงฮวนพูดอย่างมั่นใจ “ท่านพี่โปรดวางพระทัย พวกเราจุดไฟมาครึ่งค่อนวันแล้วยังจุดไม่ติดเลย”

มู่หรงฉีหัวเราะอย่างโกรธเคืองต่อความโง่เขลาของนายและบ่าวรับใช้ “หมูยังฉลาดกว่าพวกเจ้า ถ่านนั่นจุดโดยตรงได้เหรอไง”

“ไม่ได้แน่นอน พวกเรา…”

เหลิ่งชิงฮวนเขย่าตำราในมือ แล้วนึกขึ้นได้ทันทีจึงรีบเอาไปซ่อนไว้ด้านหลัง

สายตาของมู่หรงฉีเฉียบแหลม เขาทันได้เห็นตำราครึ่งเล่มในมือของนาง “เจ้าอ่านอะไร”

เป็นครั้งแรกที่ขโมยโดนจับได้ เหลิ่งชิงฮวนยิ้มแห้ง “ไม่ ไม่มีอะไร แค่เศษกระดาษไม่กี่แผ่น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา