ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 64

จือชิวตะเบ็งเสียงตะโกน “รีบไปเชิญท่านหมอ พระชายารองสลบไป”

คนรับใช้อื่นๆ ก็ตะโกนเช่นกัน หน้าประตูโกลาหลอย่างฉับพลัน คงไปกระตุ้นมู่หรงฉีแน่นอน

มู่หรงฉีกำลังอยู่ในห้องตำรา

ทหารอารักขากำลังยื่นสาสน์ให้มู่หรงฉีอย่างเคารพ

“เรียนท่านอ๋อง ตี้ทิงเว่ยได้ไปเลียบเคียงถามที่สำนักศึกษาเจิ้งหยางที่คุณชายเหลิ่งเคยศึกษา ผลการเรียนของคุณชายเหลิ่งนั้นดีที่สุดในสำนักศึกษามาโดยตลอด เหล่าอาจารย์ต่างชื่นชมในศีลธรรมความประพฤติความสามารถและความรู้ของเขาไม่ขาดปาก และน่าจะสอบได้ตำแหน่งจินปั่งในปีนี้ ทว่าเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วร่างกายของเขาเริ่มป่วย จึงจำต้องกลับจวนมหาเสนาบดีเพื่อพักฟื้น ไม่ได้กลับไปศึกษาอีก และไม่ได้เข้าร่วมการสอบแข่งขันในฤดูใบไม้ผลิของปีนี้”

มู่หรงฉีเปิดสาสน์ออก ล้วงเอาบทความแผ่นหนึ่งออกมาจากด้านในแล้วมองดูคร่าวๆ

“นี่คือบทความตอนสอบฤดูใบไม้ร่วงหรือ”

“พะยะค่ะ”

“วาทศิลป์ยังไม่งดงาม แต่ข้อคิดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทว่าน่าเสียดาย ยังดูเด็กไปหน่อย ไม่เพียงพอสำหรับภาพรวม และไม่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน อาจกล้อมแกล้มได้ว่าเป็นหยกที่เจียระไนได้ชิ้นหนึ่ง”

ทหารอารักขาลังเลอยู่พักหนึ่งและเงยหน้าขึ้น “เรียนท่านอ๋อง ตี้ทิงเวยบอกว่าบทความฉบับนี้เขียนตอนคุณชายเหลิ่งอายุสิบสาม”

มู่หรงฉีมีสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าตอนเขาอายุสิบสามก็ชนะจูเหรินแล้วหรือ”

“พะยะค่ะ ต่อมาบัณฑิตในสำนักเจิ้งหยางได้แสดงความคิดเห็นในบทความของเขา และก็เกือบจะเหมือนกับคำที่ท่านอ๋องได้กล่าวเมื่อครู่ คุณชายเหลิ่งรู้สึกว่าความรู้ของตัวเองยังมีไม่มากพอ จึงถอดใจไม่เข้าร่วมการแข่งขันในฤดูใบไม้ผลิสองครั้งก่อน และจดจ่ออยู่กับการศึกษาในสำนักเจิ้งหยาง

มู่หรงฉีพยังหน้าหงึกๆ “ถ้าจะว่าไปก็เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ สำหรับอุปนิสัยส่วนตัว ข้ายังต้องตรวจสอบด้วยตัวเองอีกสักหน่อย”

“ตอนนี้คุณชายเหลิ่งไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงพะยะค่ะ แต่พักฟื้นอยู่ที่สุสานจวนมหาเสนาบดี”

“สุสาน?”

จู่ๆ มู่หรงฉีก็คิดขึ้นมาได้ว่า วันนั้นเหลิ่งชิงฮวนได้พูดตอบคำถามของเขาทั้งหมด ที่แท้เป็นเรื่องจริง หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนเองเข้าใจนางผิดหลายเรื่องจริงๆ รวมทั้งเรื่องของเหลิ่งชิงหลาง มันก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด หรือว่ามีคนจงใจใส่ร้ายนางอย่างที่นางพูด?

“ใช่พะยะค่ะ ได้ยินมาว่าคุณชายเหลิ่งป่วยหนัก ต้องพักฟื้น ความจริงแล้วคือรอวันตายเท่านั้น”

เหลิ่งชิงฮวนสามารถพาคนที่กำลังจะตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพื่อเข้าร่วมการสอบที่โหดร้าย และที่สองพี่น้องปกปิดเก็บเป็นความลับ แม้กระทั่งตี้ทิงเว่ยยังได้ข้อมูลมารายงานผิดๆ น่าจะไม่ใช่แค่อยากให้มหาเสนาบดีเหลิ่งประหลาดใจง่ายๆ แค่นี้กระมัง

เขาเม้มริมฝีปากบาง สอดสาสน์เข้าไปในตำรากวีของนักบวชเต้าหลิน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบพู่กันมา เขียนจดหมายสั้นๆ ลงไปสองสามคำ แล้วยื่นให้ทหารอารักขา

“ไปตามหาคนๆ หนึ่ง ให้เขาทำตามที่ข้าสั่งในสาสน์”

ทหารอารักขารับคำสั่ง และรับสาสน์มา เพิ่งหันหลังไปเปิดประตู ก็บังเอิญเจอคนใช้วิ่งอย่างรีบร้อนมา ยังไม่ทันเข้ามาก็รีบรายงานว่า “ท่านอ๋อง ชายารองเป็นลมไปเจ้าค่ะ”

“เกิดอะไรขึ้น”

“ไม่ทราบสาเหตุเพคะ ชายารองไปคุกเข่าเป็นนานสองนานที่ลานหลัก สุดท้ายพระชายาไม่สนใจ ต่อมาชายารองจึงหมดแรงและเป็นลมไปเจ้าค่ะ”

ดวงตาของมู่หรงฉีมืดลง เขายืนขึ้น ตอนที่เขาไปถึงลานหลัก เหลิ่งชิงฮวนได้ตื่นขึ้นมาอย่างนวยนาด และเอนตัวครึ่งหนึ่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของจือชิว ดูน่าสงสารดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขาขมวดคิ้วถามอย่างเย็นชา

รอบดวงตาของจือชิวแดงอย่างรวดร้าวใจ และมองไปที่มู่หรงฉี พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้น

“วันนี้คุณหนูปลูกดอกไม้ และพบโพรงในสนามหญ้าที่ปลูกดอกไม้ จึงเชิญคนในจวนมาดู ทุกคนต่างบอกว่ากระต่ายป่ามาสร้างรัง น่ากลัวจะวิ่งหนีออกจากจวนไปแล้ว จู่ๆ คุณหนูก็คิดเรื่องที่เข้าใจผิดพระชายาเมื่อครั้งก่อนขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาขอร้องวิงวอน หวังว่าจะสามารถสะสางความเข้าใจผิดในอดีตต่อพระชายา

น่าเสียดายที่พระชายาไม่ยอมให้อภัย และให้คุณหนูคุกเข่าอยู่ตรงนี้ตลอด ร่างกายของคุณหนูไม่ค่อยดีตลอดมา เวลาผ่านไปนานจนทนไม่ไหวจึงสลบไปเจ้าค่ะ”

“จือชิว!” เหลิ่งชิงหลางขัดจังหวะคำพูดของสาวใช้ “ข้าเต็มใจคุกเข่าที่นี่เอง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ข้าทำผิดก่อน โทษท่านพี่ไม่ได้”

“แต่คุณหนูไม่ได้ตั้งใจนี่เจ้าคะ ใครใช้ให้เรื่องมันประจวบเหมาะพอดี? วันนั้นคุณหนูใหญ่ก็ไม่ยอมอธิบาย พูดจาก็ไม่น่าฟังอย่างนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าถึงได้…”

“พอแล้ว จือชิว!” เหลิ่งชิงหลางขัดจังหวะพูดนางอีกครั้ง “ผิดก็คือผิด ท่านพี่ไม่ยอมให้อภัย ก็ถือว่าสมเหตุผล”

มู่หรงฉีเม้มปากบาง “จือชิว ประคองนายของเจ้ากลับไปพักผ่อน”

“แต่ว่าท่านพี่ นาง…”

“นางจะให้อภัยเจ้าไหมไม่สำคัญ”

เหลิ่งชิงหลางคอตกอย่างเศร้าสร้อย “ไม่ว่าท่านพี่จะมองข้ายังไง ข้าก็ยังอยากคืนดีกับนาง และข้ายิ่งไม่อยากให้ท่านอ๋องคิดว่าข้าเจตนากลั่นแกล้งท่านพี่”

“กลับไปเถอะ” มู่หรงฉีพูดอย่างเฉยเมย “ข้าวินิจฉัยเอง”

เหลิ่งชิงหลางลังเลที่จะพูด ดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไร จึงออกจากลานหลักไปอย่างกระสับกระส่าย

มู่หรงฉียืนที่ประตูสักพัก เมื่อไม่ได้ยินความเคลื่นไหวใดๆ ข้างใน และไม่มีคนออกมาต้อนรับจึงหันหลังเดินจากไป

“น่าแปลก ท่านอ๋องไม่เข้ามาซักไซ้เอาความหรือ” เหลิ่งชิงฮวนกอดอกพิงเสาทางเดิน เหล่ตามองมู่หรงฉี “ทำไมไปซะล่ะ”

มู่หรงฉีชะงักฝีเท้า “เจ้ามีอะไรจะพูดไหม”

“ไม่มี”

“ถ้างั้นข้าจะอยู่ต่อทำไม”

“จากนิสัยของท่าน ท่านน่าจะถีบประตูห้องของหม่อมฉัน จากนั้นคว้าคอของหม่อมฉันอย่างแรง แล้วถามหม่อมฉันว่าทำไมถึงไม่ให้อภัยนาง”

“จากนั้นเจ้าจะพูดว่าไง”

“หม่อมฉันก็จะถามท่านว่า ทำไมหม่อมฉันต้องให้อภัยนาง ไม่ก็ ท่านให้เหลิ่งชิงหลางลิ้มรสที่โดนกระทำรุนแรงในครอบครัวเหมือนที่หม่อมฉันโดนท่านทำ หม่อมฉันก็จะให้อภัยนาง”

“เจ้าก็คิดไว้ดิบดีแล้วว่าจะทำยังไงกับข้า สุดท้ายข้าไม่ได้ทำตามที่เจ้าตั้งใจไว้ รู้สึกผิดหวังไหม”

เหลิ่งชิงฮวนคิด เหมือนจะมีเล็กน้อย ตนเองลับดาบให้คมเตรียมพร้อมที่จะสู้ สุดท้ายกลับพบว่า ศัตรูชำเลืองมองอย่างเหยียดหยามแล้วล่าถอยไป นี่เรียกว่าผู้เก่งกาจขาดแหล่งสำแดงกำลัง

นางเม้มปาก “หม่อมฉันแปลกใจ ท่านเปลี่ยนกลยุทธ์วิธี ก็ต้องมีการเตรียมพร้อม”

มู่หรงฉีจ้องนาง “ในใจของเจ้า ข้าเป็นคนไม่มีเหตุผลอย่างนั้นเหรอ”

เหลิ่งชิงฮวนพยักหน้าแล้วรีบส่ายหน้าอย่างทันควัน นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า ความจริงท่านอ๋องคนนี้ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เขายังแยกแยะถูกผิด แต่เขาค่อนข้างเผด็จการ“ท่านอ๋องฉลาดหลักแหลม หยั่งรู้ทุกรายละเอียด ตัดสินคดีได้ราวกับเทพ”

มู่หรงฉีหรี่ตานิดๆ “ท่าทางตอนที่เจ้าชอบพูดเรื่องไร้สาระอย่างจริงจังนี่ช่างอัปลักษณ์”

“งั้นท่าทางตอนปกติของหม่อมฉันสวยมากใช่ไหมเพคะ”

มู่หรงฉีเหลือบมองนางขึ้นๆ ลงๆ แล้วทิ้งสายตาอย่างหนึ่งให้นางเข้าใจเอง จากนั้นหันหลังจะเดินออกไป

เหลิ่งชิงฮวนล้อเลียนและหัวเราะฮิฮิ “ค่อยๆ เดินไม่ส่งเพคะ”

“เดินไปกับข้า!”

“เดิน?”

“ออกจากจวน”

“ไปไหน”

“ไปถึงเจ้าก็รู้เอง”

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ คงไม่ใช่ลักพาตัวไปขายนะ มีเงินให้นับเล่นไหม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา