ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 65

เวลาเที่ยงวัน ณ สุสานจวนเสนาบดี

เหลิ่งชิงเฮ่อกำลังเอนกายอยู่บนเตียงไม้ โดยถือตำราไว้ในมือพลางอ่านอย่างสาละวน

กองผักสีเขียวเปลี่ยนสีและโจ๊กชามหนึ่งวางอยู่ข้างเตียง ไม่มีความร้อนเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

หมิงเย่ว์เดินก้มเข้ามาทางประตูไม้เตี้ยๆ หลังจากนั้นไม่นานนางปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสลัวในห้องและมองไปที่เหลิ่งชิงเฮ่อ “คุณชาย พระชายาทรงกำชับเอาไว้ว่าคุณชายสุขภาพไม่ดี ควรพักผ่อนให้มากๆ ไม่ควรให้คุณชายแตะต้องตำราเหล่านี้ หากพระองค์ทรงทราบ บ่าวจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

เหลิงชิงเฮ่อไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ไม่เป็นไร ถ้าพวกเราไม่พูด นางจะรู้ได้อย่างไรเล่า เพลานี้นางเป็นถึงพระชายาฉีแล้วคิดจะออกไปไหนตามอำเภอใจคงเป็นไปไม่ได้ นางคงไม่มาที่นี่หรอก”

หลังจากพูดไม่กี่คำเขาก็กระแอมออกมาเบาๆ “ข้าเองก็ไม่ได้มีงานอดิเรกอะไร มีเพียงการอ่านตำราเท่านั้น หากขาดมันไปข้าคงทนอยู่ต่อไปไม่ไหว”

หมิงเย่ว์ถอนหายใจ “คุณชายพูดเรื่องไม่เป็นมงคลอีกแล้วนะเจ้าคะ หากท่านรักษาร่างกายให้ดี อีกไม่นานจะต้องดีขึ้นแน่”

เหลิ่งชิงเฮ่อเงยหน้าขึ้น “หากเจ้าพูดมากอีก...ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่จวนเสนาบดีเสีย ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เฝ้าหน้าประตูให้ดี หากคุณหนูใหญ่มารีบรายงานให้ข้ารู้ทันที เลิกพร่ำบ่นอยู่ที่นี่เสียที”

หมิงเย่ว์ไม่พูดอะไรและถอยออกไป

วันนี้เรือนชิงเฟิงนำเสื้อผ้าไปซักที่แม่น้ำจึงไม่มีผู้ใดอยู่ในสุสาน ที่แห่งนั้นเงียบสงัด มีเพียงเสียงนกกาเหว่าร้องเพลงอย่างครึ้นเครงที่ป่าด้านนอก

หมิงเย่ว์เหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นเดินไปตามทางเล็กๆ เข้าไปในป่า มีใครบางคนซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ไม่นานคนผู้นั้นก็กระโดดออกมาจากป่า แต่งกายด้วยชุดชิงอีซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายของเรือนจวนเสนาบดี

“จินอี๋เหนียงให้ข้ามาถามไถ่สถานการณ์”

หมิงเย่ว์ขยับเข้าไปใกล้แล้วลดเสียงลง “ยังกึ่งเป็นกึ่งตายเช่นเดิม เอาแต่ไอไม่หยุดทั้งวัน”

“ครั้งก่อนที่เจ้าบอกว่าคุณหนูใหญ่มาเยี่ยมเขาและห้ามเขาแตะปากกา หมึก กระดาษและหินหมึกเหล่านั้นอีก จินอี๋เหนียงถามว่านางได้สงสัยอะไรหรือไม่”

“ไม่เลย” หมิงเย่ว์ส่ายหัวอย่างมั่นใจ “คุณหนูใหญ่เพียงแต่สงสัยว่าเขา” อ่านตำราทั้งวันทั้งคืนจนทำให้สุขภาพทรุดโทรม จึงต่อว่าพวกเรา ทว่าคุณชายกลับสั่งให้ข้าแอบเอาตำราไปให้เขาอ่านอย่างลับๆ หากพวกเราทำกันโดยเงียบ พวกเขาอาจไม่สังเกตเห็น”

“เรื่องราวช่างเลวร้ายนัก เจ้าอยู่ในสุสานไม่ค่อยรู้อะไร คุณหนูใหญ่น่ะเรียนวิชาแพทย์มาจากที่ไหนสักแห่ง ได้ยินว่าฝีมือดีมากเลยทีเดียว จินอี๋เหนียงรู้สึกไม่ไว้วางใจ คืนแห่งความฝันนี้อีกยาวไกลนัก หากถูกเหลิ่งชิงฮวนจับได้ต้องแย่แน่ เจ้าต้องซ่อนปากกา หมึก กระดาษและหินหมึกอาบยาพิษเหล่านั้นให้ดี หากมีอะไรผิดปกติจงทำลายมันทันที”

หมิงเย่ว์ถามกลับ “คุณหนูใหญ่เรียนวิชาแพทย์งั้นหรือ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย หากนางเข้าใจวิชาแพทย์จริง คุณชายป่วยมานานขนาดนี้ ทำไมนางถึงดูไม่ออก”

“หากเจ้าบอกว่าเรื่องนี้เลวร้ายจริง วิชาการแพทย์นี้คงมิได้อาศัยความสามารถมากนัก เรียนรู้ได้ในทันทีโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงเป็นสิบๆ ปี ไม่ใช่สว่านชั้นดีอะไรนักหรอก”

ทันใดนั้นลมเย็นพัดโชยมา ใบไม้ในป่าพลิ้วไหว หมิงเย่ว์มองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหวาดระแวง

“เจ้าไม่พูดยังไม่เป็นไร เจ้าพูดแบบนี้ทำให้ข้าขนลุกขึ้นมาเลย เจ้าน่ะไม่รู้หรอกว่าการ อาศัยอยู่ในสุสานเฝ้าหลุมศพของฮูหยินใหญ่และทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้ ข้าต้องฟังเสียงสายลมหวีดหวิวอยู่ข้างนอกทุกคืน ไหนยังจะมีเสียงไอของคุณชายอีก ทำเอาข้าอกสั่นขวัญแขวนไปหมด”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังพึมพำพวกเขาก็ต้องผงะเมื่อได้ยินเสียงเกวียนม้าแผ่วเบาบนถนนข้างนอก คนใช้รีบหลบไปซ่อนหลังต้นไม้ ส่วนหมิงเย่ว์เดินไปตามเสียง

ผู้มาเยือนลงจากรถม้า หมิงเย่ว์รู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาคือคุณชายแห่งจวนซื่อหลางในกรมพิธีการปัจจุบันและยังเป็นเพื่อนร่วมห้องกับคุณชายในจวนที่สำนักบัณฑิตเจิ้งหยาง นามว่าเหยียนควานเหวิน

ทว่าเขากลับเรียนไม่เอาไหนและมิได้สนิทสนมอะไรกับคุณชายของนาง เขามาทำอะไรที่นี่งั้นหรือ หมิงเย่ว์เดินเข้าไปพร้อมกับโค้งคำนับ

เหยียนควานเหวินมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบและถามอย่างหยิ่งยโส “คุณชายของพวกเจ้าเล่า”

“คุณชายกำลังพักผ่อนอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ บ่าวไม่รู้ว่าคุณชายจะมาจึงไม่ได้ต้อนรับ ”

เหยียนควานเหวินไม่สนใจนาง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในเพียงลำพัง หมิงเย่ว์รีบวิ่งเข้าไปด้านในเพื่อรายงาน

เมื่อเหลิ่งชิงเฮ่ได้ยินว่าเหยียนควานเหวินมาเยี่ยม เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาวางตำราในมือลงและพยายามลุกขึ้นนั่ง หมิงเย่ว์รีบปูพนักพิงให้เขา

เหยียนควานเหวินมองไปที่กระท่อมข้างหน้าเขาด้วยความขยะแขยง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกและก้มลงเพื่อเข้าประตู จากนั้นหมิงเย่ว์จึงรีบย้ายเก้าอี้นั่งจากด้านข้างมาวางไว้บนพื้นที่เปิดโล่งตรงกลางสำหรับเขา

“ชิงเฮ่อ เจ้าพักอยู่ที่จวนเสนาบดีก็ดีอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องทรมานตัวเองด้วยการมาอยู่รังนกแคบๆ เช่นนี้ด้วยเล่า”

เหลิ่งชิงเฮ่อไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อเพื่อนคนนี้มากนัก แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามประจบประแจงเขา แต่ส่วนใหญ่เขาก็รักษาระยะห่างด้วยความเคารพ

ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ที่นี่คือสุสานของแม่ข้า ย่อมเป็นสถานที่สวยงามอยู่แล้ว”

เหยียนควานเหวินหัวเราะไปด้วยพลางชำเลืองมองอาหารในมือของเขา “เอาล่ะ ข้าปากไวไปเอง ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าใช้ชีวิตอย่างตรากตรำเช่นนี้ ทำเอาข้ารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย”

“สหายเหยียนมาที่นี่คงมีอะไรจะแนะนำกระมัง เชิญบอกมาได้เลย” เหลิ่งชิงเฮ่อไม่มีความอดทนกับเขามากนักจึงถามตรงประเด็น

“เพราะเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อม” เขาเหลือบมองหมิงเย่ว์ที่อยู่ข้างหลังและสั่งเด็กหนุ่มที่เขาพามา “พานางไปดื่มชาผลไม้ที่เกวียน”

เหลิ่งชิงเฮ่อโบกมือ หมิงเย่ว์จึงออกไปกับเด็กหนุ่ม ทำให้เหลือพวกเขาเพียงสองคนในห้อง

“ปีนี้ฮ่องเต้ทรงจะจัดการสอบขุนนาง ไม่รู้ว่าเจ้าได้ยินเรื่องนี้มาบ้างหรือไม่”

เหลิ่งชิงเฮ่อพยักหน้า

“สหายชิงเฮ่อมีความรู้ความสามารถ ไม่คิดจะแสดงทักษะของเจ้าบ้างหรือ”

เหลิ่งชิงเฮ่อหัวเราะเบาๆ พลางปิดปากและไอสองครั้ง “ดูสภาพร่างกายของข้าในตอนนี้สิ ข้าจะเข้าร่วมการสอบขุนนางได้อย่างไร”

เหยียนควานเหวินลดเสียงลงและกระซิบว่า “หากข้าบอกว่าข้ามีข้อสอบเล่า”

เหลิ่งชิงเฮ่อตกตะลึง เมื่อคิดว่าพ่อของเขาทำงานในกรมพิธีการ เป็นไปได้ไหมว่าข้อสอบอาจรั่วไหลอีกครั้ง

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“เรียงความของสหายชิงเฮ่อทั้งประณีตและสวยงามนัก ข้าอยากจะแลกเปลี่ยนหัวข้อในการสอบกับเรียงความของเจ้า เจ้ากับข้างต่างเรียนมาด้วยกันล้วนมีผลประโยชน์ร่วมกัน เจ้าคิดอย่างไรเล่า”

หากเป็นเช่นนั้นจริง... เหลิ่งชิงเฮ่อเย้ยหยันและพูดอย่างชอบธรรม “การเรียนเป็นข้าราชการนั้นล้วนต้องพึ่งพาความสามารถที่แท้จริงของตนเอง หากเจ้าใช้วิธีคดโกง แล้วเจ้าจะรับใช้ประเทศได้อย่างไรหากไม่มีความสามารถที่แท้จริง อาจกลายเป็นแกะดำได้ เส้นทางที่แตกต่างมิอาจเดินทางร่วมกันได้ ข้าไม่สนใจการคดโกง โปรดไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเถิด”

เหยียนควานเหวินไม่ยอมแพ้และนั่งบนเก้าอี้โดยไม่ขยับ “ข้าได้ไต่ถามเรื่องราวของเจ้ามาก่อนแล้ว จวนเสนาบดีละทิ้งเจ้า ปล่อยให้เจ้าดูแลตนเองอยู่ที่สุสานแห่งนี้ ตอนนี้เจ้าน่ะไม่มีแม้แต่ค่าใช้จ่ายรายวันใช่หรือไม่ หากเจ้าไม่เข้าร่วมการสอบขุนนางแล้วละก็...ข้ามีตัวเลือกที่สองให้แก่เจ้า”

เขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อ หยิบธนบัตรออกมากองหนึ่งแล้วยื่นให้เหลิ่งชิงเฮ่อ “นี่คือธนบัตรเงินสองพันตำลึง ข้าขอซื้อเรียงความจากเจ้าด้วยเงินเหล่านี้ เป็นอย่างไร”

เหลิ่งชิงเฮ่อมองไปที่เขาอย่างเย็นชาพร้อมกับเหน็บแนม “เจ้าทำให้คนเล่าเรียนตำราทั้งใต้หล้าต้องอับอาย! เอาธนบัตรของเจ้ากลับไป!”

เหยียนควานเหวินยืนขึ้นและตะคอกอย่างเย็นชา “ช่างไม่รู้จักของดีเอาเสียเลย! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นคุณชายของจวนเสนาบดีสินะ หากวันนี้ข้าบอกว่าข้าต้องได้เล่า เป็นมิตรไม่ได้ก็เป็นศัตรูไปเลยแล้วกัน หากวันนี้เจ้าไม่ยอมเป็นแนวร่วมของข้า ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดออกไปได้ เพื่อให้มารายงานและทำลายเส้นทางของข้าในอนาคต!”

มือของเหลิ่งชิงเฮ่อขยับไปใต้ผ้าห่มอย่างช้าๆ ซึ่งมีสว่านอันเล็กซึ่งแทบจะไม่สามารถนำมาป้องกันตัวเองได้ “เจ้าคิดจะฆ่าปิดปากงั้นหรือ เหยียนควานเหวิน เจ้าบังอาจมาก”

เหยียนกวนเหวินยิ้ม “แล้วอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าตนเองป่วยหนักแบบนี้แล้วจะมาต่อกรกับข้าได้งั้นหรือ พูดมา เจ้าจะเขียนเรียงความให้ข้าหรือไม่”

“ฝันไปเถอะ” เหลิ่งชิงเฮ่อกล่าวโดยไม่ลังเล

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา