ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 690

สรุปบท ตอนที่ 690 มู่หรงเท็ดดี้หมายถึงอะไร?: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 690 มู่หรงเท็ดดี้หมายถึงอะไร? – ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา โดย เฉลิมพล

บท ตอนที่ 690 มู่หรงเท็ดดี้หมายถึงอะไร? ของ ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา ในหมวดนิยายนิยาย โรแมนติค เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย เฉลิมพล อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

“นั่นไม่ใช่เป็นการขอหลักฐานจากเจ้าหรอกหรือ? ข้าคิดไปคิดมา จิ่งอวิ๋นหนีออกมาจากคุกหลวงของกรมอาญาได้โดยอาศัยเพียงกำลังของตัวเองทั้งหมดและทำไมเขาถึงสามารถทำอะไรผ่านฉลวยได้แบบนี้ สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้นั้นก็คือเขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแรกอยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีวันนี้ จึงเริ่มปูทางเอาไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว

เขามองหาคนที่มีรูปลักษณ์เหมือนตัวเองเอาไว้นานแล้ว แม้แต่รอยแผลเป็นบนร่างกายก็ทำได้อย่างรายละเอียดพิถีพิถันเหมือนกันทุกประการ ก็เพื่อวันนี้วันที่ต้องใช้กลยุทธ์สลับสับเปลี่ยนตัว

ในมือเขากำจุดอ่อนของเจ้าหน้าที่กรมอาญาหรือไม่ก็ผู้คุมเอาไว้เพื่อใช้ข่มขู่พวกเขา ขอเพียงซื้อผู้คุมและเจ้าหน้าที่เอาไว้ได้ สำหรับพวกเขาแล้ววิธีนี่มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก กล่าวโทษอะไรสักอย่างยัดให้ตัวตายตัวแทนคนนั้นเพื่อจับเขาเข้าคุก จากนั้นทั้งสองคนก็สลับตัวกัน แล้วปล่อยตัวฉีจิ่งอวิ๋นออกไป เช่นนี้ก็สามารถสำเร็จการต่อรองส่วนตัวในครั้งนี้ได้อย่างราบรื่น”

ที่มู่หรงฉีวิเคราะห์ออกมาก็มีเหตุผลอย่างมาก เหลิ่งชิงฮวนนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตัวเองถูกขังอยู่ในที่พักบนเขา ฉีจิ่งอวิ๋นมีออกไปข้างนอกอยู่ครั้งหนึ่งก่อนที่หิมะจะตกหนัก โดยบอกเพียงว่าจะต้องออกไปจัดการอะไรบางอย่าง จากนั้นก็จะสามารถอยู่บนที่พักบนเขาได้อย่างสบายใจ

เขาน่าจะวางแผนเตรียมพร้อมสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว

เลือกใช้กลยุทธ์สลับเปลี่ยนตัวตายตัวแทน ใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์มาแลกกับชีวิตของตัวเอง เรื่องนี้จิ่งอวิ๋นทำได้อย่างโหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัวอย่างมาก

เธอไม่เคยรู้สึกว่าฉีจิ่งอวิ๋นเป็นคนดีมาก่อน ที่ตัวเองรู้สึกเสียดายก็แค่ความรู้สึกของเขาที่ดีต่อมู่หรงฉีของตัวเองก็เท่านั้น

ในใต้หล้านี้คนอ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่า เมื่อเป็นผู้ที่มีอำนาจก็คงไม่เคยรู้สึกว่าการสังเวยชีวิตผู้บริสุทธิ์มีอะไรไม่ถูก

ดวงตาของเหลิ่งชิงฮวนเปล่งประกายระยิบระยับ “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นไปได้ว่าจิ่งอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในใต้หล้า และหลายวันก่อนก็พยายามช่วยชีวิตหม่อมฉันโดยไม่สนใจชีวิตตัวเอง เป็นไปได้ว่าจะเป็นเขาจริง ๆ ใช่หรือไม่?”

มู่หรงฉีพยักหน้า “ในวันที่เจ้าถูกลักพาตัวไป ฮูหยินฉีอยู่ที่ประตูของโรงงานผ้าแพรพอดี ก็เป็นไปได้ว่าจิ่งอวิ๋นคงจะปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ และเขาก็รู้ทิศทางหลบหนีของรถม้า ดังนั้นจึงไปที่เตาเผาแม่เหล็กก่อนข้าและช่วยเจ้ากับชิงฮว่าเอาไว้ได้ ดูประจวบเหมาะสมเหตุสมผลอย่างมาก

อย่างไรก็ตามนี่เป็นแค่การคาดเดาฝ่ายเดียวของพวกเรา ใช่หรือไม่นั้นไม่มีใครยืนยันได้แน่ชัด ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราอย่างโจ่งแจ้งได้อีกต่อไป และก็ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีตัวตนในใต้หล้านี้ได้ เพราะเขาเป็นคนที่ตายไปแล้ว”

“แม้จะเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยที่สุดเขาก็สามารถปกป้องญาติมิตรของเขาเอาไว้ได้ และยังมีชีวิตอยู่ต่อได้แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ”

เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว นี่เป็นข่าวดีจริง ๆ มิฉะนั้นหากนึกถึงฉีจิ่งอวิ๋นขึ้นมา ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่

เธอเอาแต่สงสัยจิ่งอวิ๋นมาโดยตลอด รวมถึงฮูหยินฉีคนนั้นด้วยที่อยู่ ๆ ดี ๆ ก็ได้เงินเพิ่มขึ้นมาโดยไม่มีที่มาที่ไป และยังมีใครบางคนคอยหนุนหลังนางอยู่โดยทำการสั่งสอนพวกญาติที่ทำตัวเหมือนผีดูดเลือดเหล่านั้น

เพียงแต่ว่าเธอเอาแต่ปฏิเสธความคิดของตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้มู่หรงฉีได้ให้เหตุผลที่เพียงพอให้นางเชื่อได้ว่าจิ่งอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นมู่หรงฉีไปที่ค่ายทหารอีกครั้งอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

ยังไม่ทันถึงช่วงเที่ยงก็กลับมาด้วยใบหน้าคล้ำทะมึนเหมือนตูดเป็ดก็ไม่ปาน และในมือยังถือกรงที่คลุมด้วยผ้าสีดำมาด้วยหนึ่งกรง

ทุกคนในจวนต่างก็รู้งานกันดีพากันหลบให้ห่าง ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ๆสักคน แม้แต่รองแม่ทัพอวี๋ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารรอบ ๆ กายเขาราวกับว่าเห็นชีวิตคนเป็นเหมือนผักเหมือนปลายังไงยังงั้น

ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน เมื่อลองย้อนกลับไปนึกถึงเมื่อห้าปีที่แล้ว ทุกครั้งที่ท่านอ๋องของตนถูกบีบให้ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าพระชายา ก็จะมาเอะอะโวยวายให้ตัวเองออกไปฆ่าคนเล่น ๆ ด้วย ซึ่งท่าทางในตอนนั้นเหมือนตอนนี้ไม่มีผิด

ใครกันที่มีตาหามีแววไม่ ถึงได้ไปยั่วยุเขา?

รองแม่ทัพอวี๋แอบเดินตามอยู่ข้างหลังเพื่อแอบดูเขา มู่หรงฉีหิ้วกรงอันนั้นตรงเข้าไปในตำหนักฉาวเทียน

สาวงามทั้งหกกำลังเล่นซ่อนหากับเสี่ยวอวิ๋นเช่ออยู่ เมื่อเห็นมู่หรงฉีก็เตรียมจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อถวายพระพรแต่ก็ถูกทำให้กลัวจนขาสั่น จนต้องคุกเข่าฮวบลงไปกับพื้นทำการถวายความเคารพอย่างยิ่งใหญ่ แม้แต่ศีรษะก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา

อวิ๋นเช่อกำลังจะแหงนหน้าอ้าปากเพื่อเอ่ยเรียกท่านพ่อ แต่มู่หรงฉีก็เดินผ่านเขาไปด้วยท่าทีดุดัน ไม่แม้แต่จะสนใจเขาสักนิด

เขาถูกเมินเสียแล้ว ในใจจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ไม่นานก็ถูกดึงดูดความสนใจจากสิ่งที่มู่หรงฉีหิ้วอยู่ในมือ เพราะได้ยินเสียงร้องและเคลื่อนไหวจากในกรง แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามีสิ่งลึกลับอะไรซ่อนเอาไว้

มู่หรงฉีตรงเข้าไปในเรือนและก็วางกรงเอาไว้ตรงริมทางเดิน จากนั้นก็แหวกผ้าม่านขึ้นและเดินเข้าไปในห้อง

เมื่อมู่หรงฉีเปิดม่านเข้ามา เธอก็รีบยกการบ้านของอวิ๋นเช่อขึ้นมาทันทีเพื่อฟ้องเขา “รีบมาดูความงามหน้าของลูกชายที่แสนดีของท่านเถอะ หากข้าดูมากกว่านี้อีกนิดเกรงว่าคงจะกระทบกระเทือนถึงครรภ์ได้”

เพราะว่ามู่หรงฉีมีออร่าและหน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งยังมีลักษณะท่าทางที่อบอุ่น ชิงฮวนจึงไม่ทันได้เห็นความโกรธบนใบหน้าของเขาชั่วขณะ

“เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน” ริมฝีปากของมู่หรงฉียกขึ้นมาเล็กน้อยและที่มุมปากก็แสดงออกให้เห็นถึงความเยือกเย็น “สามีผู้นี้ก็มีการบ้านเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสิ่งนั้นเท่าไร ต้องการให้พระชายาช่วยชี้แนะ”

ชิงฮวนแบะปาก “ท่านคือท่านอ๋องฉีที่รู้ความตั้งแต่อายุสามขวบ อ่านหนังสือตำรากลยุทธ์ทางทหารของปรัชญาขงจื่อได้อย่างชำนาญ อีกทั้งยังหยั่งรู้ฟ้าดิน ยังจะมีอะไรที่ไม่เข้าใจถึงต้องถามหม่อมฉันอีกหรือเพคะ?”

“แน่นอนว่าย่อมมีอยู่แล้ว ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อคนสามคนเดินด้วยกัน ต้องมีคนใดคนหนึ่งที่เป็นอาจารย์ของเราให้ได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม”

มู่หรงฉีเดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วโน้มตัวลงมามองชิงฮวน จากนั้นก็เลิกคิ้วที่เรียวงามนั้นขึ้น และเอ่ยปากอย่างเย็นชา “สามีอยากรู้ว่า ที่เจ้ามักจะเรียกข้าว่ามู่หรงเท็ดดี้บ่อย ๆ นั้นหมายความว่าอย่างไร?”

ลมหายใจที่เยือกเย็นของเขาเป่าลดอยู่ที่ปลายจมูกของเธอ

ชิงฮวนชะงักไปเล็กน้อย ทำไมอยู่ ๆ เขานึกถามคำถามแบบนี้ขึ้นมาล่ะ?

จากนั้นเธอจึงพูดจาเรื่อยเปื่อยออกไป “ในบ้านเกิดของหม่อมฉัน เท็ดดี้มีไว้เรียกสามี ความหมายของมันก็คือวีรบุรุษผู้กล้าหาญ”

“จริงหรือ?”

มู่หรงฉีถามออกมาเรียบ ๆ และช้อนคางของชิงฮวนขึ้นมา ใบหน้าแสดงออกเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ดูเย็นชาอยู่เล็กน้อย ดวงตาที่สวยงามคู่นั้นหรี่ตาลงและเลิกหางตาขึ้น ช่างเหมือนภาพวาดพู่กันของจิตรกรขั้นเทพที่ทุกคนชื่นชอบ แค่วาดร่าง ๆ ก็สามารถวาดออกมามีจิตวิญญาณที่แตกต่างออกไป

ชิงฮวนรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ มู่หรงฉีในวันนี้หล่อจริง ๆ แต่ว่าทำไมถึงดูแปลก ๆ ไปหน่อยล่ะ?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา