สรุปตอน ตอนที่ 692 ใช้หมดประโยชน์และถีบหัวส่ง – จากเรื่อง ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา โดย เฉลิมพล
ตอน ตอนที่ 692 ใช้หมดประโยชน์และถีบหัวส่ง ของนิยายนิยาย โรแมนติคเรื่องดัง ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา โดยนักเขียน เฉลิมพล เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
สามวันต่อมา ในที่สุดคณะทูตของมั่วเป่ยก็เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว
เมื่อวานก่อนข่าวที่ว่าองค์ชายอันต๋ามาถึงที่เมืองหลวงแล้วได้มีการรายงานมาแล้ว โดยบอกว่าใต้เท้าหลู่กับองค์ชายอันต๋าจะเดินทางเข้าเมืองหลวงมาพร้อม ๆ กัน
แม้ว่าจะหลบซ่อนได้ชั่วขณะแต่ก็หลบไม่พ้นอยู่ดี สุดท้ายก็ไม่สามารถหนีพ้นได้ วันนั้นที่บุกลักพาตัวชิงฮวนไป แม้ว่าเขาจะโชคดีหลบหนีไปได้ แต่สุดท้ายยังไงมั่วเป่ยก็ต้องให้คำอธิบายแก่ฉางอันอยู่ดีต่อให้ต้องควบคุมตัว ก็ต้องคุมตัวใต้เท้าหลู่เข้ามาที่เมืองหลวงพร้อม ๆ กัน
สำหรับการเคลื่อนไหวของมั่วเป่ยเช่นนี้ มู่หรงฉีกับเหลิ่งชิงฮวนเคยแอบพูดคุยกันไว้ว่า วิธีการข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งของกษัตริย์มั่วเป่ย ช่างเป็นการเล่นสนุก ๆ ได้อย่างไร้ซึ่งความปรานีเสียจริง ๆ
แม้ว่าใต้เท้าหลู่จะเป็นคนใจคด แต่ครั้งนี้ได้สร้างปัญหาทำให้ฉางอันไม่พอใจขึ้นมาเสียแล้ว แต่ถึงยังไงก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นกำลังที่แข็งแกร่ง มีคุณงามความดีที่ทุ่มเทแรงกายและแรงใจเอาไว้มากมายกับมั่วเป่ย
การประดิษฐ์ปืนและระเบิดฟ้าคำรณสามารถทำให้ทหารมั่วเป่ยสู้หนึ่งต่อสิบได้ หรือแม้กระทั่งต้องสู้เป็นร้อยก็ยังไว้ เพียงพอที่จะครองใต้หล้านี้ได้ แม้แต่ทหารม้าเหล็กของมู่หรงฉีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา
สำหรับการซักไซ้เอาความของฉางอัน กษัตริย์มั่วเป่ยไม่ลังเลที่จะผลักใต้เท้าหลู่ออกมาเป็นแพะรับบาป ซึ่งค่อนข้างเป็นการใช้คนจนหมดประโยชน์และถีบหัวส่งอย่างไร้ความปรานีเสียจริงๆ
อย่างน้อยใต้เท้าหลู่ก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านเทคนิค ซึ่งหายากในรอบหลายร้อยปี เป็นสิ่งที่ประเทศอื่น ๆ ไม่สามารถแสวงหาได้
ยิ่งไปกว่านั้น มั่วเป่ยในตอนนี้มีกองกำลังที่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถ้าหากตนเป็นกษัตริย์มั่วเป่ยละก็จะต้องไม่กลัวอย่างแน่นอนและจะไม่มีทางผลักใต้เท้าหลู่ออกมาเพื่อเป็นตัวไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง อย่างมากก็แค่สู้บนสนามรบให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้าง ใครไปจะกลัวกันเล่า?
แม้ต้องใช้พลังของคนทั้งประเทศ ยังไงก็ต้องรักษาสมบัติของประเทศชาตินี้เอาไว้
ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นการพูดเกินความจริง
เพราะฉางอันเต็มไปด้วยคนที่มีพรสวรรค์ ตัวอย่างเช่นในด้านการตีเหล็กและการถลุงโลหะนั่นก็นำหน้าประเทศอื่น ๆ ไปไกลแล้ว แต่ว่าในด้านการหลอมปืนนั้น แม้จะเป็นการลอกเลียนแบบโดยมีปืนตัวอย่างจากมั่วเป่ยเพื่อใช้ในการอ้างอิง แต่ทว่ากลับพบทางตันไม่สามารถผ่านพ้นจุดนี้ไปได้
เรื่องผลิตปืนที่จริงเป็นเรื่องง่าย ๆ แม้ว่าจะต้องใช้ฝีมือที่พิถีพิถันและแม่นยำ แต่สำหรับช่างฝีมือแล้ว มีปัญหาแค่เพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น ปัญหาที่ยุ่งยากอื่น ๆ สามารถเอาชนะได้อยู่แล้ว
สิ่งที่ยากก็คือการทำกระสุนนั้นต่างหาก
ช่างฝีมือได้ศึกษาค้นคว้าอยู่นานแล้ว แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่ากระสุนเช่นนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถบรรลุมาตรฐานคุณภาพได้หรือไม่ แค่คิดว่าจะยิงออกจากลำกระบอกยังไงโดยไม่ให้ระเบิดก็ยากแล้ว
ชิงฮวนไม่เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนเท่าไร แต่พอจำได้ราง ๆ ว่าตอนสมัยช่วงแรก ๆ ในประเทศจีนกระสุนเหล่านี้ใช้เครื่องจักรกลในการผลิตออกมา ในช่วงที่ต้องรับมือกับสงครามที่ยากลำบากที่สุดในตอนนั้น กองทัพขาดแคลนกระสุนอย่างมาก ปลอกกระสุนที่หล่นเกลื่อนกลาดอยู่ในสนามรบถูกนำกลับมาเพื่อผลิตซ้ำ แล้วทำการบรรจุใหม่เพื่อให้พร้อมใช้งาน
ถ้าเช่นนั้นทำไมมั่วเป่ยถึงสามารถสร้างกระสุนที่ไร้ที่ตินี้ด้วยงานฝีมือได้ล่ะ?
ชิงฮวนรู้สึกว่าคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ
ใต้เท้าหลู่คงไม่มีความสามารถถึงขนาดผลิตเครื่องจักรที่ทันสมัยขึ้นมาในสมัยโบราณได้หรอกนะ?
คนที่พรสวรรค์แบบนี้ ช่างน่าเสียดายเสียจริง ๆ เกิดมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกสิ ควรจะพูดว่า ไม่น่าชิงมาเกิดเลย ยังคงยืนยันคำเดิมว่าถ้าเขามาเร็วกว่าตัวเองเสียหน่อยและทะลุมิติไปอยู่ในร่างของคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้คงจะประสบความสำเร็จกับมู่หรงฉีเทพเจ้าสงครามท่านนี้อย่างแน่นอน
ทั้งสองคงควบม้าไปในสนามรบ สังหารไปศัตรูรอบด้านต้องเป็นคู่เซียนที่เข้ากันได้ดีคู่หนึ่งเลยทีเดียว คงจะไม่ใช่มู่หรงฉีในตอนนี้ที่พอตาเฒ่าพูดถึงทีไรก็ต้องว่าเขาว่าเป็นคนไม่ได้เรื่องทุกครั้งไป
แต่จะเสียใจก็เปล่าประโยชน์ เมื่อออกมาทำอะไรมั่วซั่วแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องชดใช้คืนอยู่ดี
ใต้เท้าหลู่กล้าที่จะลักพาตัวเหลิ่งชิงฮวน ก็คงจะคาดการณ์ถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ได้
มู่หรงฉีให้ชิงฮวนพักอยู่ในจวนอ๋องฉีเพื่อบำรุงครรภ์ ส่วนตัวเองก็เข้าไปในวัง
สิ่งนี้ทำให้เหลิ่งชิงฮวนหดหู่ใจอย่างมาก
นี่แค่เพิ่งเริ่มตั้งท้องเองนะ จะอะไรขนาดนั้นนะ ตัวเองถูกกำจัดเสรีภาพเสียแล้ว ถ้ารอจนเห็นท้องโตชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ เกรงว่าแค่จะออกจากประตูตำหนักฉาวเทียนคงต้องมีคนคอยพยุงหน้าพยุงหลังเป็นแน่
เมื่อก่อนเคยดูละครย้อนยุคในวังมาก่อน รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจอย่างแรงว่าทำไมนางสนมเหล่านั้นที่ดูแข็งแรงอายุยังน้อย ๆ และดูมีชีวิตชีวาอยู่เลย แต่ทำไมเวลาจะเข้าจะออกถึงต้องมีคนรับใช้ตั้งมากมายค่อยช่วยประคองขนาดนั้น ตอนนี้ตัวเองกลับได้รับการปรนนิบัติแบบเดียวกันเช่นกันเสียแล้ว
และตัวเองยังเป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง เป็นพยานปากเอกที่สำคัญที่สุดในการชี้ตัวใต้เท้าหลู่ หรือว่าไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองไปเป็นพยานต่อหน้าแล้วหรือ?
นักโทษมั่วเป่ยเสียชีวิตแล้ว สำหรับเรื่องที่จะซักไซ้หาความผิดกับชาวมั่วเป่ยยังไงนั้น เหลิ่งชิงฮวนเองก็ไม่รู้ว่าตาเฒ่าฮ่องเต้วางแผนเอาไว้อย่างไร
ที่จวนอ๋องเฮ่า ตัวเองก็ต้องไปเยี่ยมดูสักครั้งเช่นกัน
ถ้าหากเหลิ่งชิงเหยายังไม่ฟังคำแนะนำของตัวเอง ตัวเธอก็จะยอมเป็นคนเลวสักครั้ง จะต้องนำเรื่องนี้เปิดโปงออกมาให้กระจ่างให้จงได้
เธอเพิ่งเริ่มคิดว่าจะทำเช่นนี้ พระชายาเฮ่าก็พาเหลิ่งชิงเหยามาเยี่ยมถึงที่เสียแล้ว เพราะได้ยินมาว่าเธอกำลังตั้งครรภ์จึงมาเยี่ยมเธอ
เธอรีบลุกออกจากตำหนักฉาวเทียนเพื่อออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
สภาพอากาศที่หนาวจัดในฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม พระชายาเฮ่ายังคงสวมเสื้อคลุมเพราะเป็นโรคกลัวความหนาวมากที่สุด
ทั้งสองคนเอ่ยทักทายกันสองสามประโยค พระชายาเฮ่ายิ้มออกมาเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าท่านตั้งครรภ์แล้ว จึงปรึกษากันตั้งนานแล้วว่าจะมาเยี่ยมท่านด้วยกัน แต่เพราะร่างกายของข้าที่เป็นตัวถ่วง มักจะไม่ค่อยมีแรงเท่าไร จึงเป็นกังวลว่าถ้ามาเยี่ยมจะนำพาโรคมาให้ท่านได้”
ชิงฮวนรีบเชิญทั้งสองคนเข้าไปในตำหนักฉาวเทียน “ดูท่านสิเกรงใจเกินไปแล้ว ปกติก็เจอกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว ยังจะมาเยี่ยมข้าโดยเฉพาะแบบนี้อีก”
เหลิ่งชิงเหยาก้มศีรษะลง ทำความเคารพให้ชิงฮวน แล้วยิ้มแห้ง ๆ
ชิงฮวนไม่สามารถพูดอะไรต่อหน้าพระชายาเฮ่าได้ ทำได้เพียงถามสารทุกข์สุกดิบธรรมดาสองสามประโยคเท่านั้น
สีหน้าของเหลิ่งชิงเหยาดูไปปกติเหมือนเดิม ถามคำตอบคำ บอกเพียงว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี พระชายาเฮ่าดูแลเป็นอย่างดี
แต่นางกลับไม่มีเรื่องอะไรที่จะพูดคุยกับพระชายาเฮ่าได้เลย
พระชายาเฮ่าเป็นคนนิสัยดีมาก อ่อนโยนและมีคุณธรรม พูดจาด้วยน้ำเสียงเบาสุภาพ เห็นได้ชัดว่าเป็นที่น่าคบหาใกล้ชิดด้วยคนหนึ่ง
ในตอนที่ชิงฮวนเพิ่งแต่งงานเข้ามาที่จวนอ๋องฉี ตอนนั้นได้พบกับเหล่าพี่สะใภ้ทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นพระชายาเซวียนที่ดูหยิ่งผยองไม่เคยเห็นตนอยู่ในสายตา ส่วนพระชายารุ่ยในเวลานั้นก็ไม่ค่อยชอบหน้าตนเองเสียเท่าไรเป็นเพราะข่าวลือเหล่านั้น ทั้งเยาะเย้ยทั้งถากถาง ก็คงมีเพียงพระชายาเฮ่าเท่านั้นที่มีความเกรงอกเกรงใจตนเอง ค่อยช่วยแก้สถานการณ์ที่น่าลำบากใจให้ตั้งหลายครั้ง
แต่ถ้าจะให้สนทนากันละก็ คงไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรเหมือนกัน
บางทีอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือนิสัยของคนทั้งคู่ไม่ตรงกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา
แอดขาาาาาา หนีเที่ยวพอหรือยัง มาต่อให้จบบบบบบ...
แอดขาาาาาา 794 และ 797 ตกหล่นหายไปคะแอด ช่วยเก็บมาหน่อยคะ คิคถึงงงงงงงงงง...
แอดขาาาาาา ตอน794และ797 หายไปคะ แอดทำตกหล่นช่วยเก็บกลับมาหน่อยคะ...
อยากทราบว่ามีทั้งหมดกี่ตอนคะ....
หยุดนานแล้วนะคะ ผู้เขียน มีอัพเดทต่อไหมคะ...
ขอบคุณทุกๆๆคนนะคะที่มาบอก แต่พอให้เตรียมทิชชู่นี่ปวดตับ ปวดใจก่อนล่ะ...
อยากรู้จังว่าพระเอกรู้ความจริงว่าผู้หญิงในคืนนั้นเป็นนางเอกตอนไหนคะ ใครอ่านแล้วบอกหน่อยค่ะรบกวนสปอยหน่อยยย...
ขอบคุณนะคะที่หานิยายสนุกๆๆมาให้อ่าน จะรออ่านทุกวันค่ะ...
ขอบคุณมากๆค่ะที่อัพเดทต่อจะตั้งใจอ่านต่อไป...ตอนเรียนยังไม่ตั้งใจขนาดนี้🤗😘😄😅😊...
อย่าเท..กลางทาง..นะแอดนะ😁😁😁...