ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 802

ในเวลาเดียวกันข่าวได้ถูกส่งไปถึงชิงฮวนเช่นกัน ในใจของชิงฮวนรู้สึกหนักอึ้ง รู้สึกว่าเรื่องนี้เห็นท่าไม่ดีเสียแล้ว

เกี่ยวกับเรื่องของเหลิ่งชิงเหยานั้น เป็นเพราะว่านางกลับกลอกไปมา ภายหลังชิงฮวนก็ไม่ได้ไปสนใจอีก ปล่อยเลยตามเลยให้นางรับชะตากรรมที่ตัวนางก่อขึ้นเอง

ดังนั้นในภายหลังชิงฮวนจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับเหลิ่งชิงเหยาค่อนข้างน้อย

แต่ตอนนี้คนคนหนึ่งที่ปกติดีทุกอย่างกลับกลายเป็นบ้าไปเสียได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เหลิ่งชิงเจียวไปเยี่ยมนางแล้วก็หายตัวไปอีก

สิ่งนี้ทำให้ชิงฮวนเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ ทั้งสองคนจะต้องมีความลับอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกใครได้จึงทำให้เกิดเรื่องขึ้น

แต่ทว่าพระชายาเฮ่าช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก ไม่เพียงแต่จะไม่ทิ้งจุดอ่อนอะไรไว้ให้ แต่ยังทำให้จวนมหาเสนาบดีไม่มีเหตุผลอะไรจะไปไต่ถามหาความรับผิดชอบได้อีก เพราะอะไรนางถึงถูกเหลิ่งชิงเหยาแทงได้และต้องการใช้สิ่งนี้ปกปิดอะไรกันแน่ ช่างมีความนัยลึกซึ้งเหลือเกิน

ความจริงค่อย ๆ ปรากฏออกมาทีละนิด จนทำให้อีกฝ่ายต้องทำทุกวิถีทางโดยไม่เลือกวิธีการเสียแล้ว

ความกลัวที่อัดอั้นในใจทำให้ชิงฮวนรู้สึกกระสับกระส่าย เธออยากออกไปไม่อยากหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายทำเรื่องเลวร้ายต่อไปจนแย่มากขึ้นไปอีก ซึ่งอาจจะเป็นภัยอันตรายต่อความปลอดภัยของคนในครอบครัวตัวเองทั้งหมดได้

เธอเรียกหาเสิ่นหลินเฟิงให้เขาเข้าวังหลวงไปทูลรายงานตาเฒ่าฮ่องเต้ บอกว่าตัวนางต้องการออกไปจากที่นี่เพื่อไปเผชิญหน้ากับผู้หญิงคนนั้นอย่างโจ่งแจ้งสักตั้ง ต่อให้ต้องเจอกับกลอุบายอะไรก็จะแบกรับเรื่องนี้เอาไว้เอง

เสิ่นหลินเฟิงขี่ม้าเข้าวังหลวงไป ตอนที่กลับออกมาก็มีพระสนมฮุ่ยเฟยตามหลังมาด้วย

พระสนมฮุ่ยเฟยรู้สึกไม่วางใจหลานตัวน้อยในครรภ์ของชิงฮวน แม้ว่าตาเฒ่าฮ่องเต้จะเน้นย้ำหลายครั้งแล้วว่าเหลิ่งชิงฮวนอยู่ที่นี่กินอิ่มนอนหลับสบาย แต่นางก็ยังคงอยากจะถือขนมจากห้องเครื่องหลวงมาให้เธอเพิ่มกล่องหนึ่ง

“ครั้งก่อนตอนที่พวกเราแม่ลูกสองคนต้องมาอยู่ที่คุกหลวง ข้าก็ได้เจ้าช่วยเอาไว้ ครั้งนี้ข้าเอาอาหารแห้งมาเองเพื่อให้พวกเราสองคนพอกินสองวัน”

ชิงฮวนกะพริบตาปริบ ๆ “หมายความว่าอย่างไร? ท่านต้องการจะเข้ามาพักอยู่ที่นี่ด้วยหรือเพคะ?”

พระสนมฮุ่ยเฟยพยักหน้าอย่างจริงจังและพูดด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย “พระองค์ไม่ยอมปล่อยเจ้าออกไป เช่นนั้นข้าจะเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแทน”

เสิ่นหลินเฟิงผายมือออกอย่างจนใจ แสดงให้เห็นว่าตัวเองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว

แม่สามีสุดบ๊องแบบนี้จะให้ตัวเองพูดอะไรได้ล่ะ?

ในใจของชิงฮวนทั้งรู้สึกขำและก็ซาบซึ้งใจ “หม่อมฉันอยากออกไป ท่านจะเข้ามาทำอะไรที่นี่เพคะ?”

นัยน์ตาของพระสนมฮุ่ยเฟยเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาเล็กน้อยและบ่นด้วยความน้อยใจ “ฉีเอ๋อร์ละทิ้งครอบครัวและการงานไปเพื่อฉางอัน เสด็จพ่อของเขาหากไม่เห็นคุณงามความดีที่มี ก็ควรต้องเห็นถึงความยากลำบากที่ทุ่มเทไปบ้าง ทำไมถึงได้แล้งน้ำใจให้เจ้ามาถูกขังอยู่ที่นี่ นี่มันก็กี่วันแล้วยังไม่ยอมปล่อยเจ้าออกไปอีก แถมยังฝากให้ข้ามาบอกเจ้าด้วยว่า เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องสำคัญก็ต้องหักห้ามใจ อย่าได้ปล่อยให้เรื่องเล็กมาทำให้เสียการใหญ่ ที่พูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร ข้าเพิ่งโต้เถียงกับพระองค์สองสามคำเท่านั้น พระองค์ก็บ่นว่าปวดหัวและไล่ข้าออกมา”

ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยที่จะให้ตัวเองออกไปงั้นหรือ?

“เสด็จพ่อท่านเป็นผู้ที่อยู่เหนือคนทั้งปวง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของพระองค์ได้ ท่านเองก็อย่าได้ไปแข็งข้อกับพระองค์เลย มิฉะนั้นคนที่จะต้องเสียเปรียบคือท่านอย่างแน่นอน”

พระสนมฮุ่ยเฟยแบะปาก “เป็นเพราะเมื่อก่อนข้าดีกับพระองค์มากเกินไป ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้เขาจนพระองค์ไม่เห็นความสำคัญ กลับกลายเป็นว่าพอมีคนมาเมินเฉยใส่เขา ก็กลายเป็นเจ้าตัวเล็กที่โปรดปรานของเขาไปเสียยังงั้น”

อายุก็ปูนนี้แล้วแต่พระสนมฮุ่ยเฟยยังทำท่าทีหึงหวงแบบนี้ ก็ดูน่ารักนิดหน่อยนะ

ชิงฮวนเม้มริมฝีปากและเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “ใครหรือเพคะ?”

พระสนมฮุ่ยเฟยฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดใส่ “ยังจะมีใครได้อีกล่ะ? ก็พระสนมหลินเฟยนะสิ! ชิงชิงเป็นเชื่อเล่นของพระสนมหลินเฟย เป็นสุดที่รักของเสด็จพ่อของเจ้า แค่ผ้าคาดหัวเส้นเดียวก็ทำให้เขามองเป็นสมบัติล้ำค่าและมักจะสวมอยู่บนศีรษะเอาไว้”

คำพูดหลังจากนี้ชิงฮวนไม่ได้เก็บเอามาคิดต่อ เพราะสมองของเธอตอนนี้มีเสียง “ตูม” ดังขึ้นมาในหัว เหมือนกับว่าในหัวกำลังมีสายฟ้าผ่าระเบิดสมองอยู่

หรงกุ้ยเหรินเคยเล่าเอาไว้ว่าเมื่อตอนที่เสด็จลุงรองมาขอพระราชทานงานอภิเษกสมรสจากไทฮองไทเฮาเคยกล่าวคำพูดประเภทที่ว่า หากไม่ใช่ชิงก็ไม่ขอแต่งงานด้วย คำว่าชิงคำนี้ส่วนใหญ่จะใช้เรียกเป็นชื่อเล่นระหว่างกันสำหรับคู่ชายหญิงที่เคยสาบานรักกัน มาพูดแบบนี้กับไทเฮาเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมเล็กน้อย

แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว คำว่า ชิง คำนี้จะหมายถึงชื่อของหวานใจของเขาหรือไม่นะ?

ชิงฮวนสงสัยอยู่นานแล้วว่าพระสนมหลินเฟยเป็นคนรักของเสด็จลุงรอง สมมติว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ชาติกำเนิดของอ๋องเฮ่าก็มีสิ่งที่น่าสงสัยเช่นกัน

แต่ตอนนั้นตอนที่อยู่ที่จวนอ๋องเซวียน ตัวเองเคยนำเลือดขององค์ชายทั้งหลายมาตรวจ ก็มีแค่อ๋องเชียนเท่านั้นที่แตกต่างออกไป และหลังจากได้รับการตรวจสอบยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกครั้ง ก็แน่ใจแล้วว่าตัวอย่างเลือดที่ได้มาไม่ได้มีการสลับสับเปลี่ยนแต่อย่างใด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา