ชิงฮวนกระแอมไอเบา ๆ “พวกเราควรสำรวมท่าทางหน่อยดีไหมเพคะ ท่านดูตัวท่านสิเพคะทำตัวยังกับคางคกขึ้นวอไปได้ นึกถึงวันแรกที่ได้รู้จักท่านครั้งแรก ท่าทางของตอนนั้นช่างดูสง่ามีราศีมากขนาดไหน”
สำหรับคำหยอกล้อของลูกสะใภ้ พระสนมฮุ่ยเฟยไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย “ข้าไม่ได้อิจฉาพระสนมหลินเฟยจริง ๆ นะ ข้าแค่รู้สึกว่าถ้าหากเสด็จพ่อของเจ้ารู้ว่าทุ่มเทความรักให้ผิดคนมาโดยตลอดละก็ ตาเฒ่านั่นจะต้องเสียใจแน่ ๆ แค่คิดก็รู้สึกสนุกแล้ว แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะเห็นพระองค์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเสียแล้ว
ชิงฮวนยิ้มอย่างมีเลศนัย “ถ้าอย่างนั้นภารกิจอันทรงเกียรติและยากลำบากนี้ก็ขอมอบให้ท่านจัดการเลยนะเพคะ ท่านอยากดูเมื่อไรก็เริ่มได้ทุกเมื่อ”
พระสนมฮุ่ยเฟยที่กำลังหัวเราะก๊ากอยู่หยุดหัวเราะและชี้ไปที่จมูกของตัวเอง “ให้ข้าเป็นวายร้ายอย่างงั้นหรือ? ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย เจ้าอยากให้ข้าเป็นไม้กระบองให้งั้นหรือ? พระองค์บ่นว่าปวดหัวทุกวันที่ได้เห็นข้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จุดชนวนระเบิดชัด ๆ สามารถระเบิดสมองพระองค์สมองได้เลยนะ”
พระสนมฮุ่ยเฟยพูดถึงอาการปวดหัวของตาเฒ่าฮ่องเต้อยู่หลายครั้ง ชิงฮวนจึงเอ่ยถามออกไปดู “เสด็จพ่อทรงปวดหัวบ่อยอย่างนั้นหรือเพคะ? หรือว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บจากครั้งก่อนทำให้เกิดอาการข้างเคียงตามมาหรือเปล่า?”
พระสนมฮุ่ยเฟยแบะปาก “พระองค์บอกว่าเป็นเพราะถูกข้าทำให้โมโห ยังเรียกหมอหลวงไปตรวจอาการถึงสองครั้ง แสร้งทำเป็นสำออยไปอย่างนั้นแหละ สมควรแล้วล่ะ ถ้าหากไม่ใช่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและเกี่ยวพันไปถึงชาติกำเนิดของอ๋องเฮ่าละก็ ข้าก็อยากจะราดน้ำมันลงบนกองไฟให้เขาโมโหไปเลย แต่ว่าพวกเราไม่มีหลักฐานอะไรเลย อาศัยแค่เพียงสิ่งที่เจ้าคาดเดาสงสัยเพียงอย่างเดียวและไปฟ้องเขา นั่นไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ?”
ชิงฮวนพยักหน้าอย่างหดหู่ “อีกฝ่ายเจ้าเล่ห์นัก และยังทำอะไรไม่มีช่องโหว่เลยด้วย แม้ว่าข้าจะสงสัยในตัวพวกเขา แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ตามหลักแล้วไม่ควรรีบร้อนที่จะไปทูลรายงานให้เสด็จพ่อทรงทราบ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มีคำกล่าวที่ว่าลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ ลงมือทีหลังก็จะเสียเปรียบได้ พวกเราจำเป็นต้องรีบคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้ก่อน มิฉะนั้นหากปล่อยเอาไว้นาน ๆ อาจมีอะไรเปลี่ยนไปอีกก็ได้”
พระสนมฮุ่ยเฟยแบะปาก “ไม่มีประโยชน์ ในท้องพระโรงมีฎีกาฟ้องร้องกล่าวโทษเรื่องโน้นเรื่องนี่มากมาย และมักต้องมีหลักฐานเสมอ หากเสด็จพ่อของเจ้าเชื่อคนง่าย ๆ แบบนี้ เลือดคงนองเป็นแม่น้ำไปทั่วท้องพระโรงไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นพระสนมหลินเฟยยังเป็นทูนหัวสุดล้ำค่าของพระองค์อีก เพียงแค่เศษผ้าคาดหัว เสด็จพ่อของเจ้ายังเห็นเป็นสมบัติล้ำค่าและสวมใส่ไว้ทุกวัน ถ้าหากข้าวิ่งไปบอกพระองค์ว่าพระสนมหลินเฟยสวมเขาให้พระองค์อยู่ เกรงว่าข้าคงจะพูดไม่เข้าหูพระองค์เป็นแน่ และจะทำให้ตัวข้าถูกพัดปลิวกระเด็นไปเสียก่อน”
เดิมทีมีความคืบหน้าขึ้นมาแล้ว และชิงฮวนที่กำลังดีอกดีใจกับเรื่องนี้ก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเช่นกัน
นอกจากนี้อ๋องเชียนกับเสิ่นหลินเฟิงก็ออกจากคุกหลวงไปด้วยกัน และมุ่งหน้าไปที่กรมโยธาธิการเพื่อสอบถามว่าชายคนที่มอบกระบอกฝนดอกสาลี่ให้กับตัวเองคนนั้นพักอาศัยอยู่ใด จากคำบอกกล่าวของคนอื่น ๆ ในที่สุดก็พบจวนของรองเจ้ากรมคนนั้นแล้ว
เมื่อรองเจ้ากรมเห็นอ๋องเชียนเสด็จมาเยือนถึงจวนที่ต่ำต้อยของตัวเองด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะและพูดจาไม่ปะติดปะต่อเล็กน้อย จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงบนพื้น หัวใจเต้นเหมือนกลับตีกลองรัว ๆ รู้สึกว่าความโชคดีของตัวเองกำลังจะมาถึงเสียแล้ว
อ๋องเชียนเองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงหยิบกระบอกฝนดอกสาลี่อันนั้นออกมาและถามเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม “ข้าอยากถามเจ้าว่าอาวุธลับที่เจ้าให้ข้ามาอันนี้ได้มาจากที่ใดหรือ?”
รองเจ้ากรมไม่เข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อในตอนแรก จึงพูดจาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่นิดหน่อย “ได้มาโดยบังเอิญไม่ได้ตั้งใจขอรับ”
เสิ่นหลินเฟิงจึงพูดต่อตรง ๆ ว่า “กระบอกฝนดอกสาลี่อันนี้เป็นของติดตัวคุณชายรองของจวนมหาเสนาบดีที่มีนามว่าเหลิ่งชิงเจียว เหตุใดจึงมาปรากฏมาอยู่ในมือของเจ้าได้? ตอนนี้เจ้าของเดิมอยู่ที่ใด? ยังไม่รีบบอกความจริงมากอีกหรือ?”
ทันใดนั้นรองเจ้ากรมก็ตกใจจนเหงื่อออกทันที “คาดไม่ถึงว่าเด็กคนนั้นจะเป็นคุณชายจากจวนมหาเสนาบดีอย่างนั้นหรือนี่? เป็นข้าน้อยที่สายตาไม่ดี มีเรื่องกับคนกันเองแท้ๆ คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนี้ได้”
“ยังไม่รีบบอกมาอีก?” อ๋องเชียนเร่งถาม
รองเจ้ากรมยิ้มแห้ง ๆ อย่างระมัดระวัง “ข้าน้อยจะพูดอย่างไม่ปิดบังเลยนะขอรับ เมื่อสองวันก่อนข้าน้อยออกจากเมืองไปเพื่อสำรวจคลองลำเลียงน้ำแต่ระหว่างทางกลับพบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตกลงมาจากหลังม้าและหมดสติ ข้าน้อยไม่รู้ว่าเขาเป็นคุณชายรองของจวนมหาเสนาบดี แค่เห็นว่าเขาน่าสงสารจึงได้ช่วยเขาเอาไว้ และฝากเขาไว้กับบ้านชาวนาที่อยู่ใกล้ ๆ
ตอนนั้นเขาถือกระบอกฝนดอกสาลี่อันนี้เอาไว้ในมือแน่น ข้าเห็นว่ากลไกมันดูประณีตดีจึงเกิดความโลภขึ้นมาชั่วขณะ ยึดมันมาเป็นของตัวเองและนำมันกลับมาเมืองหลวงด้วย จากนั้นก็ถวายให้กับท่านอ๋องเชียนขอรับ”
นั่นต้องเป็นเหลิ่งชิงเจียวอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย!
“เจ้าบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่บ้านของชาวนางั้นหรือ?”
รองเจ้ากรมพยักหน้า “แต่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก และได้ยินมาว่ายังหมดสติอยู่ตลอดยังไม่ฟื้นขึ้นมา นี่ขนาดเงินค่ายาที่ไปขอกับหมอ ก็ยังเป็นข้าน้อยที่สำรองจ่ายให้ก่อนด้วยนะขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมเขาถึงได้รับบาดเจ็บ?”
รองเจ้ากรมส่ายศีรษะ “ตอนนั้นข้าอยู่ไกลมากจึงมองไม่ค่อยชัดเท่าไร คนขับรถม้าบอกว่าเหมือนจะตกลงมาจากหลังม้าและศีรษะก็โขกเข้า ส่วนม้าตัวนั้นก็ตกใจจนวิ่งหนีเตลิดไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา
แอดขาาาาาา หนีเที่ยวพอหรือยัง มาต่อให้จบบบบบบ...
แอดขาาาาาา 794 และ 797 ตกหล่นหายไปคะแอด ช่วยเก็บมาหน่อยคะ คิคถึงงงงงงงงงง...
แอดขาาาาาา ตอน794และ797 หายไปคะ แอดทำตกหล่นช่วยเก็บกลับมาหน่อยคะ...
อยากทราบว่ามีทั้งหมดกี่ตอนคะ....
หยุดนานแล้วนะคะ ผู้เขียน มีอัพเดทต่อไหมคะ...
ขอบคุณทุกๆๆคนนะคะที่มาบอก แต่พอให้เตรียมทิชชู่นี่ปวดตับ ปวดใจก่อนล่ะ...
อยากรู้จังว่าพระเอกรู้ความจริงว่าผู้หญิงในคืนนั้นเป็นนางเอกตอนไหนคะ ใครอ่านแล้วบอกหน่อยค่ะรบกวนสปอยหน่อยยย...
ขอบคุณนะคะที่หานิยายสนุกๆๆมาให้อ่าน จะรออ่านทุกวันค่ะ...
ขอบคุณมากๆค่ะที่อัพเดทต่อจะตั้งใจอ่านต่อไป...ตอนเรียนยังไม่ตั้งใจขนาดนี้🤗😘😄😅😊...
อย่าเท..กลางทาง..นะแอดนะ😁😁😁...