ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD นิยาย บท 190

ณ ท้องพระโรงของวังหลวง

หลังงานเลี้ยงเมื่อคืน ท้องพระโรงของวังหลวงก็กลับมาว่างเปล่าไร้ผู้คนอีกครั้ง บรรดาขุนนางพากันกลับไปทีละคนสองคน เหลือแต่เหล่าขันทีที่กำลังเก็บกวาดพื้นที่ให้กลับมาสะอาดเอี่ยมดังเดิม

ความครึกครื้นจอแจเมื่อคืนดูเหมือนเป็นเพียงความฝันของวันวาน ด้านในสุดของโถง มีเพียงจีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ จักรพรรดิหนุ่มนั่งงอตัวอยู่บนนั้นพลางลูบคางตนเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด

เซียวเหมิงค่อยๆ เดินเข้ามาในท้องพระโรงจากด้านนอก เขามาหยุดอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์แล้วโค้งคำนับให้จีเฉิงเสวี่ยเล็กน้อย

“ได้ไปสกัดการแพร่ข่าวแล้วหรือยัง”

จีเฉิงเสวี่ยมองเซียวเหมิง จากนั้นก็นวดบริเวณหว่างคิ้วและตาด้วยความเหนื่อยล้า

เซียวเหมิงพยักหน้าแล้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าน้อยได้สั่งการให้สกัดการแพร่กระจายข่าวทันทีที่หมดงานเลี้ยงพะย่ะค่ะ ตอนนี้ข่าวที่ว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางมีต้นตื่นรู้ทางห้าสายนั้นได้ถูกระงับไว้แล้ว แต่ว่า…”

จีเฉิงเสวี่ยมองหน้าเซียวเหมิงซึ่งกลืนสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูดลงไป สายตาของจักพรรดิหนุ่มดูไม่แน่ใจนัก

“ท่านจักรพรรดิ ท่านน่าจะทรงทราบดีว่า แม้นครหลวงของเราจะสงบสุขดีหลังจากที่กำจัดพวกสำนักน้อยใหญ่ไปได้ในสงครามกลางเมืองครั้งล่าสุด แต่ก็มีหลายฝ่ายที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ในนครหลวงของเรา ข่าวที่ว่าอาจแพร่ไปทางนี้แทน จึงน่าจะเป็นการดีกว่าถ้าเราเตรียมตัวรับสถานการณ์พะย่ะค่ะ…”

จีเฉิงเสวี่ยขมวดคิ้ว เขายืดหลังขึ้นนั่งตัวตรงพลางคิดอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา “ไม่อยากเชื่อเลยว่าชายชราอย่างพ่อครัวเงานั่นจะมาปล่อยข่าวเช่นนี้ที่งานเลี้ยงฉลอง ข้าตกใจจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว…”

“สมัยที่ท่านพ่อข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยพูดถึงพ่อครัวเงาอยู่บ้าง ตาแก่นี่… หน้าหนาหน้าทนเป็นอันมาก และมักจะหาโอกาสเล่นทางลัดอยู่เสมอ ในอดีตนครหลวงของเราเคยมีงานแข่งขันการทำอาหารหลายครั้งอยู่ แล้วหมอนี่ก็จะใช้วิชามารเล่นสกปรกเอาชนะคู่แข่งทุกครั้งไป… ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเวลาผ่านไปหลายปีดีดัก ตาแก่นี่จะยังไม่ทิ้งคราบเดิมอีก”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเซียวเหมิงกระตุก “จริงพะย่ะค่ะ… ดูจากนิสัยของตาแก่นี่แล้วน่าจะเที่ยวขัดขาชาวบ้านไปทั่วตอนท่องทวีป ยังไม่โดนซ้อมจนตายนี่ก็นับว่า… เหลือเชื่อมากแล้ว”

“พ่อครัวเงานะพ่อครัวเงา… ในหัวมีแต่ความคิดร้ายกาจคดโกงไปถึงกระดูกดำ เพราะอย่างนี้ไงเล่าคนถึงเรียกเขาว่าพ่อครัวเงา หากไม่นับความสามารถในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมน่ะนะ” จีเฉิงเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงสงบ

“ข้ามองเขาเป็นศิษย์พี่ที่มีปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการมาตลอด แถมยังคิดว่าเขาน่าจะเป็นพันธมิตรของอาณาจักรเราได้ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายตนเองจะถูกตาแก่นี่วางกับดักเข้าเต็มเปา หมอนี่เพิ่งออกจากร้านเถ้าแก่ปู้แล้วคงเพิ่งคิดกลเม็ดออกพอดี”

จีเฉิงเสวี่ยลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินออกจากบัลลังก์ตรงไปยังกลางท้องพระโรง พร้อมยืดเส้นยืดสายไปด้วย

“ทำท่าทำทางเหมือนหลุดปากพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่ความจริงคงวางแผนมาปล่อยข่าวนี้แต่แรกแล้ว ดูเหมือนว่าจะจงใจทำลายร้านเล็กๆ ของฟางฟางสินะ… พอบรรดาขั้นนักพรตยุทธการมาล้อมร้านเอาไว้เสร็จสรรพ ตาแก่หน้าด้านนี่คงกะฉวยโอกาสตอนชุลมุนเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไอ้หมอนี่มันทำเช่นนี้”

เซียวเหมิงพยักหน้า สีหน้าของเขาดูไม่แน่ใจ ตัวแม่ทัพใหญ่เองรู้ดีว่าจีเฉิงเสวี่ยก็น่าจะคิดเช่นเดียวกับเขาอยู่เช่นกัน

“แต่ตาแก่นี่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไร อืม… หรือว่าอาจจะยังไม่รู้นอกรู้ในเรื่องร้านเล็กๆ ของฟางฟางก็เป็นได้ ดูเหมือนจะไม่ได้หาข้อมูลก่อนไปที่ร้าน” มุมปากของจีเฉิงเสวี่ยยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาเดินไปถึงทางเข้าท้องพระโรง สายตามองไปยังเกล็ดหิมะที่โปรยปรายในอากาศพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“ฝูงผู้บำเพ็ญตนขั้นนักพรตยุทธการจะไปทำอะไรได้… ต่อให้มีขั้นเทพแห่งสงครามด้วยเถ้าแก่ปู้ก็คงไม่หวั่นแม้แต่น้อย ตาแก่นั่นหาจังหวะฉวยโอกาสช่วงชุลมุน แต่คงกลัวจนผมร่วงหมดหัวแน่เมื่อเจอของจริงเข้าให้” จีเฉิงเสวี่ยดูเหมือนกำลังนึกภาพน่าขบขันอยู่ในหัว เขาอดไม่ได้ที่จะขำออกมาเบาๆ

แต่ดูเหมือนเซียวเหมิงจะไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนคนเป็นจักรพรรดิ แม่ทัพใหญ่อดไม่ได้ที่จะตอบออกมาว่า “ท่านจักรพรรดิพะย่ะค่ะ… ปัญหาใหญ่ในเรื่องนี้ไม่ใช่ร้านของเถ้าแก่ปู้ แต่เป็นนครหลวงต่างหากพะย่ะค่ะ บรรดาขั้นนักพรตยุทธการแห่แหนมาที่นครหลวงในคราวเดียวอาจไม่ได้ทำให้เถ้าแก่ปู้กังวลใจ แต่ว่า…”

“ข้าละอยากจะสั่งสอนตาแก่ขี้กะโล้นั่นให้หลาบจำบ้างเสียจริง… ไม่สิ นี่เป็นความผิดของข้าเองต่างหาก ที่หาเรื่องชี้โพรงให้กระรอก” สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยแข็งทื่อทันที เขากัดฟันกรอด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมาด้วยความโกรธ

“แม่ทัพเซียว ออกคำสั่งไป… เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยของนครหลวงให้มากขึ้น ตรวจตราทุกคนที่เข้าออกเมืองและมารายงานทันทีที่มีบุคคลต้องสงสัยปรากฏขึ้น เมื่อเวลามาถึง ชะตากรรมของนครหลวง… คงขึ้นอยู่กับแม่ทัพเซียวแล้ว”

เซียวเหมิงผสานมือคารวะ มุมปากของเขาบิดเบี้ยวด้วยความขมขื่นเหลือแสน ฝูงขั้นนักพรตยุทธการเช่นนั้นรึ… ช่างน่าปวดหัวเสียจริง เพราะไอ้ตาแก่เจ้าเล่ห์เพทุบายนั่นแท้ๆ!

ปู้ฟางมองสาวงามเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ตรงหน้าด้วยสีหน้าตายด้าน สตรีผู้นี้ถือกล่องอาหารอยู่ในมือ นางยืนพิงกำแพงพร้อมกะพริบตาปริบๆ ขณะจ้องหน้าชายหนุ่ม

“นางยังกล้ามาทำตาอ้อนใส่ข้าอีกรึ…” ปู้ฟางคิดในใจ

“เถ้าแก่ปู้ ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ คิดถึงข้าหรือไม่” เมื่อเห็นว่าปู้ฟางดูไม่แยแสทักษะการกะพริบตาของนางแม้แต่น้อย แต่กลับกำลังตั้งท่าจะเดินเข้าครัวไป หนี่หยันก็กัดฟันกรอดพลางร้องถาม

“ข้าจะคิดถึงเจ้าทำไม เจ้าไม่ได้ติดหนี้ข้าเสียหน่อย” ปู้ฟางตอบสีหน้าขรึม

ใบหน้าของหนี่หยันแข็งทื่อทันที “สมองซื่อบื้อของเจ้าคิดออกแต่เรื่องเงินรึ”

“ศิษย์พี่ ไม่ได้เจอกันเสียนานนะขอรับ” ถังอิ่นรีบก้าวออกมาปู้ฟางแล้วเอ่ยทักทายปู้ฟางด้วยความตื่นเต้น

ปู้ฟางพยักหน้าให้ถังอิ่นจากนั้นก็พูดเสียงสงบ “ไม่ได้เจอกันนานจริงเสียด้วย เจ้ามากินอาหารหรือ ร้านเราเพิ่งเพิ่มอาหารรายการใหม่เข้ามานะ รสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD