ที่ด้านนอกนครหลวง คนกลุ่มหนึ่งกำลังตรงเข้ามาอย่างช้าๆ เสียงล้อของรถม้าสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ
พลังปราณแข็งแกร่งตีขึ้นลงเป็นกระแสแผ่ออกจากคณะนี้ ทุกคนในขบวนดูตื่นเต้นมีชีวิตชีวาเสียจนดวงตาแทบจะปล่อยลำแสงออกมาได้
ในขบวนนั้นมีกรงขังนักโทษขนาดใหญ่มาด้วย ในนั้นมีผู้ถูกจองจำอยู่ด้วยกันสามชีวิต…
หากปู้ฟางได้อยู่ในที่แห่งนี้ด้วย เขาคงจำร่างทั้งสามร่างได้อย่างแน่นอน เนื่องจากดูประหลาดไม่เหมือนมนุษย์ปกติ ช่วงล่างของทั้งสามแทนที่จะมีขาเหมือนคนทั่วไป กลับเป็นลำตัวของงูแทน
“พี่อาหนี่ นี่น่ะหรือนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว” เสียงขลาดๆ ดังออกมาจากภายในกรง
มนุษย์อสรพิษที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลบิดลำตัวกลับมาเล็กน้อย จากนั้นก็แยกเขี้ยวด้วยความเจ็บปวดพลางสูดลมเย็นเข้าปอด
“จากที่พวกนี้คุยกันดูเหมือนว่าจะใช่นะ…” ร่างกายหนาช่วงบนของอาหนี่เต็มไปด้วยแผลเป็นและรอยฟกช้ำมากมาย เขาหายใจแผ่วเหมือนหมดเรี่ยวแรง แต่ก็ยังพยายามบังคับให้ตนเองฝืนยิ้มขณะเอ่ยตอบ
หยูฟู่พยักหน้า นางเหลือบตาไปมองหยูเฟิ่งผู้เป็นบิดาที่นอนหลับตาสนิทอยู่ข้างกาย แล้วก็อดถอนใจออกมาไม่ได้
“แม้เราจะเพิ่มความเร็วในการเดินทางขึ้นจนคิดว่าจะมาถึงได้ในครึ่งเดือน แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อสมมติเท่านั้น ท่านลุงหยูเฟิ่งรู้แต่แรกแล้วว่าถึงอย่างไรก็มาไม่ทันแน่นอน ท่านจึงจัดการปิดพลังงานสารัตถะของตนเองเพื่อจำศีลไปเรียบร้อย ท่านลุงหยูเฟิ่งปกติดี ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะหยูฟู่” อาหนี่ปลอบใจอีกฝ่าย
หยูฟู่พยักหน้า นางรู้ดีว่าบิดาของตนจำศีลด้วยเหตุผลใด
อาหนี่ยืดตัวขึ้นแล้วมองลอดลูกกรงออกไป เบื้องหน้าเขาคือกำแพงเมืองสูงตระหง่านและตึกรามบ้านช่องขนาดใหญ่โตของนครหลวง
“นครหลวงนี้ยิ่งใหญ่กว่าเผ่าเราเยอะจริงเสียด้วย… แทบจะเทียบกันไม่ได้เลย ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์นั้นช่างเหลือเชื่อจริงๆ”
ในขณะที่อาหนี่กำลังซึมซับความจริงข้อนี้อยู่ กรงที่ขังพวกเขาทั้งสามก็ถูกตีแล้วปล่อยแรงสั่นสะเทือนรุนแรงราวสายฟ้าฟาดออกมา
“เลิกคุยกันเสียที” เสียงหงุดหงิดดังมาจากนอกกรงขัง
ใบหน้าของอาหนี่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที ชายหนุ่มกำหมัดแน่นจากนั้นก็คลายมือออกเล็กน้อย
ทั้งสามเดินทางออกจากหนองน้ำปราณมายา แล้วเผชิญหน้ากับคนกลุ่มนี้ทันทีที่ก้าวเท้าข้ามชายแดนของจักรวรรดิวายุแผ่ว ตอนแรกอาหนี่ไร้ซึ่งความกลัวต่อสิ่งใด เนื่องจากเขามีปราณระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ และคิดเอาเองว่าตนเองไม่มีอะไรให้ต้องกลัว ทว่า… ในกลุ่มนี้กลับมีผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการรวมอยู่ด้วย
ตอนนั้นอาหนี่ถูกต้อนจนทำอะไรไม่ได้ แน่นอนว่าเขาถูกสยบราบคาบเมื่ออยู่ต่อหน้าขั้นนักพรตยุทธการ หยูเฟิ่งจำศีลอยู่ ดังนั้นทั้งสามจึงถูกจับใส่กรงขังในที่สุด และถูกนำมาที่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว
แต่ในใจลึกๆ อาหนี่กลับรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน เนื่องจากจุดหมายปลายทางของคนกลุ่มนี้คือที่ที่ พวกเขาต้องการมาพอดี หากเป็นสถานที่อื่น สถานการณ์ของหยูเฟิ่งคงเกินแก้ไขได้
ตูม ตูม ปัง!
พื้นดินสั่นสะเทือน รูม่านตาของอาหนี่หดแคบลง เขามองไปทางด้านซ้ายแล้วก็เห็นอสูรเวทตัวใหญ่ควบอยู่ข้างๆ
อสูรเวทตัวนั้นคือสิงโตสีแดงเพลิงนั่นเอง เขี้ยวของมันยาวโง้งคมกริบเหมือนกระบี่แหลม
“อสูรเวทระดับเจ็ด… ราชสีห์โลกันตร์!” รูม่านตาของชายหนุ่มหดแคบอีกครั้ง
กลุ่มคนที่ขังพวกเขาไว้เริ่มพูดคุยกัน
ราชสีห์โลกันตร์คำรามก้อง เสียงร้องของมันดังเหมือนสายฟ้าฟาด ทำให้บรรดาอสูรเวทม้าที่ลากรถอยู่เริ่มกระสับกระส่ายด้วยความกลัว
“ในที่สุดก็ถึงนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วเสียที หากไม่ใช่เพราะเจ้าอัคคีน้อยมัวแต่เล่นวุ่นไปตลอดทาง เราคงมาถึงกันเร็วกว่านี้แล้ว” เสียงสบายๆ ดังขึ้นบนหลังราชสีห์โลกันตร์ จากนั้นร่างในชุดคลุมสีแดงก็ปรากฏสู่สายตา
เสียงฝีเท้าหนักจางลง ราชสีห์โลกันตร์และชายในชุดแดงบนหลังหายตัวไปในนครหลวงในที่สุด
ช่างเป็นการรวมตัวที่น่าหวั่นกลัวเหลือเกิน อสูรเวทระดับเจ็ดกับผู้ฝึกตนระดับเจ็ด เป็นการจับคู่ที่น่ากริ่งเกรงอะไรเช่นนี้… หรือว่าในนครหลวงจะมีพวกขั้นนักพรตยุทธการอยู่เต็มไปหมด
อาหนี่รู้สึกตกใจเหลือล้น
“พวกผู้ฝึกตนจากทำเนียบอสูรโอฬารของวิหารเทพเจ้าลำดับสามแห่งดินแดนป่ารกชัฏเช่นนั้นรึ ช่างน่ากลัวเสียจริง…” เสียงแหบชราดังขึ้น อาหนี่รู้ทันทีว่านี่เป็นเสียงของขั้นนักพรตยุทธการคนที่ซ้อมเขาเสียน่วม ดูเหมือนว่าหมอนี่จะชื่อเทียนสวีจื่อหรืออะไรสักอย่าง ทักษะการใช้กระบี่ของคนผู้นี้ยอดเยี่ยมน่าประทับใจ แค่ใช้จิตวิญญาณแห่งกระบี่ฟันอาหนี่หนึ่งครั้ง ตัวเขาก็สิ้นสภาพแล้ว
เสียงเหยี่ยวกรีดร้องดังกังวานมาจากบนท้องฟ้า ฝูงชนเบื้องล่างเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าพลันมืดมิดด้วยเงาจากอสูรเวหา
เหยี่ยวตัวใหญ่มหึมาโบกสะบัดปีกแล่นถลาไปในอากาศ เงาหนึ่งกระโจนออกจากหลังเหยี่ยว ทิ้งตัวลงกลางขบวนเบื้องล่าง ทำให้เหล่าอสูรเวทม้าแตกตื่นอีกครั้ง
คนผู้นั้นคือสตรีร่างผอมบางที่มัดผมยาวมันเรียบไว้ด้านหลัง นางสวมชุดเกราะนักรบพร้อมสะพายคันธนูไว้บนบ่า
แม่นางผู้นี้มองไปรอบตัวด้วยสีหน้างุนงง ดูเหมือนว่านางจะหลงทาง แต่หลังจากที่นึกบางอย่างได้ นางก็โบกมือให้เหยี่ยวเบื้องบน “พี่ใหญ่เตียว บินเล่นไปก่อนนะ หากข้าจะไปแล้วจะเรียก”
เหยี่ยวกรีดร้องอีกครั้งพร้อมกลอกตาบน มันกระพือปีกแล้วพุ่งทะยานขึ้นไปหาหมู่เมฆพร้อมเสียงแหวกอากาศหวีดหวิว
แม่นางผู้นี้ยิ้มเหนียมๆ จากนั้นก็หันไปมองขบวนด้านหลังตนแล้วพยักหน้าให้เบาๆ พลางพุ่งตัวเข้านครหลวงไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD