เจ้ามู่เฉิงในผ้าคลุมบ่าขนาดใหญ่กำลังก้าวเดินไปบนพื้นหินของนครหลวง เขาเชิดหน้าสูง มุมปากยิ้มละไม
หลังออกจากนครหลวงไปหลายเดือน เขาก็รู้สึกเหมือนตนเองได้รำลึกความหลังเมื่อกลับมาเยือนสถานที่แห่งนี้ นั่นเพราะเจ้ามู่เฉิงอาศัยอยู่ในนครหลวงมานาน จนเขาแทบจะเชื่อไปแล้วว่าตนเองเป็นคนที่นี่โดยกำเนิด
ท้องถนนยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นเคย แต่การรักษาความปลอดภัยกลับเข้มงวดขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีทหารในชุดเกราะเต็มยศเดินสำรวจตรวจตราทุกซอกทุกมุมเลยทีเดียว
บนถนนหนทางของนครหลวงมีผู้คนแต่งตัวประหลาดพร้อมด้วยพลังปราณแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น เจ้ามู่เฉิงรู้ว่าคนเหล่านี้มาเพื่อชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสาย ทันทีที่ข่าวแพร่กระจายออกไป บรรดาคนที่แห่กันมายังนครหลวงไม่ได้มีเพียงขั้นนักพรตยุทธการเท่านั้น แต่ยังมีขั้นราชันยุทธการและขั้นจักรพรรดิยุทธการที่ต่างคนต่างควบคุมสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ แล้วต้องรีบพุ่งมาที่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วทันทีที่ข่าวถึงหูอีกด้วย
เจ้ามู่เฉิงคิดอยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือยิ่งคนเยอะเท่าไรยิ่งดี ยิ่งมากคน นครหลวงก็จะยิ่งโกลาหลมากขึ้นเท่านั้น มิเช่นนั้นจะฉวยโอกาสช่วงชิงสิ่งที่ตนเองอยากได้จากความวุ่นวายได้อย่างเล่า
ทันใดนั้นเจ้ามู่เฉิงก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ สายตาจ้องไปยังเงาสามเงาซึ่งอยู่ไกลออกไป
เหล่าคนที่อยู่ใกล้เงาทั้งสามต่างมีสีหน้าตกใจและสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก
“มนุษย์อสรพิษเช่นนั้นรึ…” เจ้ามู่เฉิงพึมพำ หน้าตาดูสนอกสนใจไม่น้อย มนุษย์อสรพิษนั้นมีถิ่นที่อยู่อยู่ในหนองน้ำปราณมายา การเดินทางจากหนองน้ำปราณมายามายังนครหลวงนับว่าไกลโข เหตุใดมนุษย์อสรพิษจึงมาแกว่งเท้าหาเสี้ยนถึงที่นี่กัน หรือว่าพวกนี้ก็มาตามต้นตื่นรู้ทางห้าสายเช่นกัน
มนุษย์อสรพิษสองในสามตนอยู่ในสภาพร่อแร่ พลังที่ปล่อยออกมาจากร่างดูอ่อนแรงเต็มที ทั่วทั้งร่างเกรอะกรังไปด้วยเลือด เกล็ดที่ช่วงล่างของร่างกายเปิดเปิงอยู่หลายจุด เป็นภาพที่ไม่ค่อยน่ามองเอาเสียเลย
มนุษย์อสรพิษหญิงนางหนึ่งพยุงร่างของทั้งสองเอาไว้ ใบหน้าของนางดูตื่นตกใจขณะยืนอย่างไร้ทางสู้อยู่กลางถนน
น่าสนใจดี… เจ้ามู่เฉิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม จากนั้นก็เดินอาดๆ เข้าไปหามนุษย์อสรพิษทั้งสามตน
…
เสียงประกาศกร้าวแสนป่าเถื่อนอวดดีและยังบ้าใบ้ไม่รู้ความเป็นที่สุดดังสะท้อนไปทั่วตรอกเล็ก ลอยมาเข้าหูปู้ฟาง ทุกคนในร้านดูงุนงงเป็นอันมาก
ใช้มือเดียวทำลายร้านนี้ให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเช่นนั้นรึ… ไอ้หมอนี่เป็นใครกัน เหตุใดจึงมาทำตัวมีอำนาจบาตรใหญ่ไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นนี้
หลัวซานเหนียนจึ๊ปากด้วยความงุนงง นางเคยเห็นความน่ากลัวของร้านปู้ฟางมาแล้วด้วยตาตนเอง คนที่มายืนพูดบ้าพูดบอเหมือนตัวเองเก่งกล้ามากที่หน้าร้านนี้ เอาเข้าจริงแล้วหมอนั่นจะแน่สักแค่ไหนกันเชียว
ปู้ฟางได้ยินคำประกาศกร้าวนั้น แต่ก็ทำเพียงชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น เขาหยิบทาร์ตไข่ของเจวี้ยนเอ๋อร์ขึ้นมาเตรียมชิมต่อ
ด้านบนของทาร์ตไข่ดูเข้มข้นหอมมัน กลิ่นหวานลอยมาเตะจมูกชวนให้น้ำลายไหล รูปลักษณ์ที่ฟูฟ่องทำให้มันดูน่ารักเป็นอันมาก ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว ทาร์ตไข่นี้จัดว่าถึงมาตรฐานที่ปู้ฟางตั้งไว้อย่างแน่นอน
“เถ้าแก่ปู้… มีคนมาก่อเรื่องที่ร้านนะ จะไม่ทำอะไรหน่อยหรือ” หลัวซานเหนียนมองปู้ฟางที่ตั้งท่าจะชิมทาร์ตไข่ต่อ แล้วก็อดไม่ได้จนต้องพูดออกมา
แม้นางจะคิดว่ากลุ่มคนข้างนอกนั้นพูดเรื่องไร้สาระดูโง่เง่าสมองน้อย แต่การที่ปู้ฟางทำเมินพวกเขาเช่นนี้ก็ดูหยาบคายไปหน่อยเช่นกัน…
เสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นเงาหลายเงาก็มาปิดทางเข้าร้านเอาไว้มิด
คนเหล่านั้นสวมชุดเครื่องแบบเหมือนกัน พลังปราณที่ปล่อยออกมาจากร่างก็ทรงพลังเป็นอันมาก ผู้นำของกลุ่มเป็นชายที่ถือมีดขนาดใหญ่ ใบหน้าเกรี้ยวกราดน่ายำเกรง
“เหวยๆ ไอ้ร้านรูหนูนี่… ใครเป็นเจ้าของกัน แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ชายหน้าตาโหดเหี้ยมผู้นั้นตะโกนด้วยน้ำเสียงดุร้าย
แต่… ภายในร้านยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม ไม่มีใครสนใจชายกักขฬะผู้นี้แม้แต่น้อย
ชายผู้นั้นรู้สึกราวกับถูกนกบินมาตีปีกใส่หน้าแล้วชิ่งหนีไป ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนอะไรเช่นนี้
ชายผู้นำกลุ่มขมวดคิ้วทันที ฟาดมีดขนาดใหญ่ลงกับพื้นจนเกิดประกายไฟเมื่อเหล็ดครูดไปบนพื้น
“ไอ้เวรเอ๊ย! หูหนวกหรืออย่างไร ข้าคือผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดแห่งสิบสามกองโจรเมืองโม่จั่ว หากยังพอมีสมองเหลืออยู่บ้างก็รีบไสหัวออกมาจากรูเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะทำลายร้านเวรนี่ให้เหลือแต่ซาก” ผู้นำกองโจรประกาศกร้าว
ลมอ่อนพัดผ่านไป บรรยากาศยังคงเงียบกริบไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
อ้อ เว้นไว้ก็แต่สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนอยู่หน้าร้านซึ่งขยับตัวเล็กน้อย มันเลียอุ้งมือแล้วเหลือบตามองชายกักขฬะผู้นั้น จากนั้นก็กลับไปนอนท่าเดิม
“สามหาว! กล้าดีอย่างไรมาหักหน้าข้าผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดคนนี้!” ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดทำตาเขียว จากนั้นก็ยกมีดขึ้นแล้วเดินดุ่มๆ เข้าร้านมา
บรรดาคนที่คอยเลียแข้งเลียขาเขาอยู่ด้านหลังก็เดินตามเข้ามาด้วยท่าทางจองหองไม่ต่างกัน หากเดินตามผู้นำกองโจรลำดับเจ็ด นอกจากสุนัขไม่กัดแล้ว ยังจะมีชีวิตที่ดีในภายภาคหน้าอีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดสำหรับคนเหล่านี้
ปู้ฟางกัดทาร์ตไข่เข้าไปหนึ่งคำ รสสัมผัสนุ่มลิ้นกระโจนเข้าใส่ต่อมรับรสของเขาทันที กลิ่นหอมหวานของนมและไข่ระเบิดอยู่ในปาก ยิ่งเคี้ยวกลิ่นและรสชาติยิ่งเข้มข้นหอมหวานอร่อยล้ำ
“เจ้าของร้านหายหัวไปไหน ไอ้เวรนี่! กล้าดีอย่างไรมาเมินข้า!”
ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดถลึงตาแทบถลน เขาก้าวเข้ามาในร้านพร้อมตะโกนประกาศศึกพลางหายใจหนักหน่วง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD