ขณะนี้ไม่มีแม้แต่เงาสักร่างหลงเหลืออยู่ในท้องพระโรงอันโอ่อ่าของพระราชวังแห่งนครหลวง ทุกๆ คนกระทั่งบรรดาขันทีและสาวใช้ต่างก็ถูกจีเฉิงเสวี่ยไล่ออกไปจนหมดสิ้น
ชายหนุ่มนั่งหลับตาอยู่บนบัลลังก์อย่างเดียวดาย เขาไม่ได้หลับ หากแต่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ตอนนี้ สถานการณ์ในนครหลวงวุ่นวายเกินกว่าที่เขาจะควบคุมไหว ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นจักรพรรดิ แต่ก็อดรู้สึกไร้ค่าและไร้พลังไม่ได้
เซียวเหมิงเพิ่งรายงานข้อมูลลับเข้ามาเพิ่ม จีเฉิงเสวี่ยได้รู้เรื่องใหม่ๆ มากมายจากการรายงานครั้งนี้ นครหลวงตอนนี้ไม่ใช่เมืองที่จะอยู่ภายใต้คำสั่งของเขาอีกต่อไป ผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามยังมาปรากฏกายให้เห็นอยู่ประปราย ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้กลบพลังของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนครหลวงไปเสียสิ้น ซึ่งแปลว่าจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นไร้ทางสู้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ในอดีตศัตรูเป็นเพียงระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการเท่านั้น เซียวเหมิงที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการย่อมสร้างความประทับใจให้แก่ฝูงชนด้วยการกำราบศัตรูที่กล้ามาแข็งข้อได้ แต่ต่อหน้าระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามแล้ว… เซียวเหมิงเองย่อมไม่เก่งกล้าพอ
เหล่าผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามที่คนทั่วไปเคยได้ยินเพียงชื่อ จู่ๆ ก็พากันมาปรากฏกายในนครหลวง เป้าหมายของพวกเขาย่อมต้องเป็นต้นตื่นรู้ทางห้าสายที่อยู่ในร้านของเถ้าแก่ปู้แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ร้านค้าเล็กจ้อยของเถ้าแก่ปู้ย่อมต้องรับศึกหนักแน่
จีเฉิงเสวี่ยยกมือนวดคิ้วพลางเปิดตาขึ้นแล้วถอนหายใจ
“ช่างมัน จะมาหนักใจกับเรื่องนี้ไปก็คงป่วยการ เพราะข้าเองก็คิดหาทางออกดีๆ ไม่ได้เลย เถ้าแก่ปู้ต้องสู้ด้วยตนเองเสียแล้ว บางทีเขาอาจจะมีไพ่ตายซุกซ่อนเอาไว้ก็เป็นได้ ถึงอย่างไรก็ยังมีอสูรเวทในตำนานคอยอารักขา บางที… เจ้าพวกระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามคงจะเดินดุ่มๆ เข้าไปทำลายทุกอย่างไม่ได้ง่ายๆ กระมัง”
…
อูอวิ๋นไป๋พิจารณาบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง ชายผู้นี้สวมเสื้อผ้าสบายๆ และมีหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง นางก้าวเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ
“ศิษย์พี่จ่านคง ทำไม…ท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้” อูอวิ๋นไป๋พูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
บุรุษสวมหน้ากากยังคงสภาพพร้อมต่อสู้ เขาก้มลงมองพื้นห้องที่อูอวิ๋นไป๋อาศัยอยู่ก่อนจะย่นคิ้ว
“อาอู่บอกว่าเจ้าเจ็บหนัก แต่ดูท่าทางแล้ว… คงจะไม่เท่าใดกระมัง”
น้ำเสียงของชายหนุ่มนุ่มนวลน่าหลงใหล แต่ก็ยังเจือไปด้วยความเข้มงวดและเย็นชา
“ท่านขุนพลจ่านคง เมื่อไม่กี่วันก่อนนางเจ็บหนักจริงๆ ขอรับ แต่ก็ได้รับการรักษาจนหายดีจากบุคคลท่านหนึ่ง” อาอู่อาจารย์อาอู่ตอบอย่างเคารพนบนอบ บุรุษผู้เย็นชาตรงหน้าเขานี้ไม่ใช่คนธรรมดา
เขาผู้นี้คือหนึ่งในสี่ยอดขุนพลแห่งตำหนักเมฆาขาว ระดับปราณอยู่ที่ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามและทักษะการยุทธ์ก็น่าเกรงขามยิ่ง บุรุษผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยฉีกอสูรเวทระดับเจ็ดเป็นชิ้นด้วยมือเปล่ามาแล้ว ก่อนจะใช้เลือดของอสูรตัวนั้นอาบรดกาย
“ใครรังแกเจ้า” นัยน์ตาของจ่านคงที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากย้ายมาหยุดอยู่ที่อูอวิ๋นไป๋ ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“ไม่ใช่เรื่องของท่าน ข้าจะขอสะสางหนี้แค้นนี้ด้วยตนเอง” อูอวิ๋นไป๋ตอบอย่างดื้อดึง
จ่านคงจ้องมองอูอวิ๋นไป๋ด้วยแววตาสงบนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปในห้อง เขาเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
“อาอู่ มากับข้า บอกข้ามา ใครทำร้ายนาง… และใครช่วยเหลือนางเอาไว้”
“อ่า… ขอรับ!” อาอู่ตกตะลึง ก่อนจะกุลีกุจอตามจ่านคงออกไป
อูอวิ๋นไป๋ทำแก้มป่องขณะที่จ้องมองแผ่นหลังกว้างของชายผู้นั้น นางส่งเสียงฮึ่มในลำคอก่อนจะกระแทกเท้าเดินตามพวกเขาจนทัน
“เกาะมหายาน สำนักพุทธอย่างนั้นหรือ” จ่านคงส่งสายตาไปทางอาอู่เหมือนจะถาม คนจากสำนักต่ำต้อยเช่นนั้นกล้าหาเรื่องคนของตำหนักเมฆาขาวเชียวหรือ
แต่เขาก็ไม่ได้ซักต่อ เนื่องด้วยต้องการรู้เพียงชื่อของคนที่ทำให้อูอวิ๋นไป๋บาดเจ็บเท่านั้น
“แล้วคนที่ช่วยนางเล่า”
“เป็นเจ้าของร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งขอรับ ร้านของเขาจู่ๆ ก็ได้รับความนิยมขึ้นมาในนครหลวงเพราะมีต้นตื่นรู้ทางห้าสายไปโตอยู่ภายใน” อาอู่ตอบอย่างนอบน้อม
“อ้อ ร้านนั้นเองน่ะหรือ ระหว่างทางมาที่นี่ข้าเจอชายมีอายุคนหนึ่งจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์ ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเขาก็คือร้านแห่งนั้น… หากข้าเดาไม่ผิด จะต้องเป็นร้านเดียวกับที่เจ้าพูดถึงแน่” จ่านคงกล่าว
สีหน้าของอูอวิ๋นไป๋เปลี่ยนไป ชายจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์อย่างนั้นหรือ คนที่จะอยู่ในสายตาของจ่านคง มีแต่ต้องเป็นระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามเท่านั้น… หรือว่าวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์จะเริ่มแผนการโจมตีร้านแล้ว พวกเขาไม่รอแล้วอย่างนั้นหรือ
“จ่านคง…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ดีว่าเจ้าจะพูดอะไร แต่ข้าเองก็มีแผนของข้า ไปพักเสียเถิด สายน้ำในจักรวรรดิวายุแผ่วในเวลานี้นั้นเชี่ยวกรากนัก เป้าหมายของข้าคือการพาเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยตามคำสั่งของเจ้าสำนัก เจ้าเองก็ทำตัวดีๆ เอาไว้เล่า”
จ่านคงตัดบทอูอวิ๋นไป๋ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมเอามือไขว้หลัง
อูอวิ๋นไป๋โกรธจัด… ช่างเป็นคนที่หยิ่งยโสและหยาบคายอะไรเช่นนี้!
“อาอู่ จับตาดูนางเอาไว้ดีๆ ห้ามให้นางออกจากห้องนี้จนกว่าข้าจะกลับมา” จ่านคงส่งสายตาไปทางอาอู่อาจารย์อาอู่ ผู้ซึ่งยืนรออยู่ข้างๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง
อาอู่รู้สึกว่าหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นผ่านกระดูกสันหลังขณะที่รีบพยักหน้ารับคำ
หลังจากนั้นจ่านคงก็เลิกสนใจคนทั้งคู่แล้วเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป
จ่านคงมายืนอยู่บนถนนอันจอแจสายหนึ่งในนครหลวง สายตาของเขาสะท้อนแววนิ่งสงบขณะที่ย่างเท้าออกไปข้างหน้า ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็เคลื่อนที่ผ่านกายเขาไปอย่างรวดเร็ว
ในพริบตาเดียว จ่านคงก็วางเท้าลงสัมผัสพื้น ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าสวนกว้างหรูหราแห่งหนึ่ง
เขาจ้องมองสวนกว้างตรงหน้าด้วยดวงตาหรี่เล็กไม่แยแส
“เป็นแค่สำนักเกาะมหายานอันต่ำต้อย ขยะชั้นต่ำที่ไม่มีกระทั่งระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามแม้สักคน กล้าดีถึงขนาดมาทำร้ายนายน้อยแห่งตำหนักเมฆาขาว ช่างเป็นคนโง่เขลาไร้สติอะไรเช่นนี้”
จ่านคงปิดตาทั้งสองเบื้องหลังหน้ากากเงินลง หางตาของเขากระตุกขณะที่ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมา
ไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตใดๆ ให้เห็น จ่านคงเพียงแต่ยกมือขึ้นคว้าไปในอากาศ กระแสพลังปราณก็ไหลบ่าเข้ามารวมตัวกันในฝ่ามือของเขาอย่างฉับพลัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD