ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD นิยาย บท 223

หมัดหนักยังคงรัวออกมาไม่หยุด ทำให้ทั้งตรอกสั่นสะท้าน เศษหินดินทรายกระจายไปทั่วท้องฟ้า

ฝุ่นหนาก่อตัวเป็นลมพายุ มันพัดหวีดหวิวเหมือนเสียงสัตว์โหยหวย

ตูม ตูม!

พลังที่มองไม่เห็นค่อยๆ หายไปในที่สุด

ปู้ฟางที่อยู่ในร้านรู้สึกได้ถึงกระแสพลังที่ซัดลงมาใส่หลังคา แต่พลังนั้นก็สลายหายไปด้วยพลังลึกลับจากภายในร้าน ใบหน้าของชายหนุ่มดูตกใจเล็กน้อย

“ฮ่าๆๆๆ! ข้าทำลายเจ้าได้แล้วสินะ!!”

เสียงระเบิดครั้งสุดท้ายตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น พื้นตรอกกลายเป็นเพียงเศษอิฐเศษปูน

เจ้าดำนอนอยู่ตรงปากทางเข้าร้าน มันทำจมูกฟุดฟิด มองไปที่ตรงกลางซากปรักหักพังอย่างเฉื่อยชา มันเห็นทุกอย่างที่อยู่ในม่านหมอกอย่างชัดเจน

บรรดาผู้คนที่ยืนอยู่ไกลออกไปในตรอกต่างพากันสูดลมเย็นเข้าปอด นี่คือพลังของผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม เพียงแค่ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายก็สามารถทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว

การทำลายตรอกนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาเองก็ทำได้เช่นกัน แต่ต้องใช้พลังปราณช่วย หากไม่มีพลังปราณ ลำพังร่างกายของพวกเขาที่แม้จะแข็งแกร่งพอตัว ก็ไม่สามารถทำให้เกิดหายนะเช่นนี้ได้

“เชิ่งมู่…ไอ้…ไอ้หุ่นเชิดนั่นน่าจะระเบิดไปแล้วใช่หรือไม่!” ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการคนหนึ่งมีสีหน้าตื่นเต้นจนแทบจะยิงลำแสงออกจากตาได้

“ข้าจะไปตรัสรู้ได้อย่างไรเล่า! แต่ในเมื่อผู้อาวุโสเซี่ยลงมือเอง ป่านนี้มันคงกลายเป็นซากอ้อยไปแล้วกระมัง…ก็เขาเป็นถึงบุรุษผู้ได้รับการขนานนามว่า ‘อสูรในคราบมนุษย์’ นี่นะ!” ดวงตาของเชิ่งมู่เหมือนมีไฟเผาไหม้อยู่ข้างใน

ทันใดนั้นร่างใหญ่ก็กระโจนออกจากกลางฝุ่นตลบลงมาบนพื้น เขาหายใจหอบ กำปั้นที่เหมือนภูผาปล่อยไอร้อนออกมา

จากนั้นเซี่ยต้าก็เงยหน้าขึ้นเพ่งมองไปที่กลางพายุฝุ่น ลมอ่อนพัดผ่าน ไล่ความขมุกขมัวในอากาศให้มลายหายไป

เซี่ยต้าหยีตาเพ่งไปที่ฝุ่นฟุ้ง กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ดุร้ายสั่นไหว

ปู้ฟางเองก็มองจ้องไปยังพายุฝุ่นเช่นกัน จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

ปี๊บ ปี๊บ!

เสียงหุ่นยนต์ดังสะท้อนออกจากกลุ่มฝุ่น จากนั้นร่างหนึ่งก็เผยให้เห็นสู่สายตา ร่างนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อม่านหมอกจางลงไป

ร่างดังกล่าวยังเป็นร่างโลหะอ้วนกลมของเจ้าขาวที่ส่องสว่างสะท้อนแสงอยู่ดังเดิม

ดวงตาของมันกะพริบแสงสีแดงต่อเนื่องรวดเร็ว

“นี่มันบ้าอะไรกัน! เหตุใดจึงยังไม่เละเป็นโจ๊กไปอีก ไอ้หุ่นเชิดนี่…” ใครบางคนที่สังเกตเห็นร่างไร้รอยขีดข่วนของเจ้าขาวตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

เชิ่งมู่สูดหายใจเข้าลึก หมัดห่าฝนจากร่างกายที่แข็งแกร่งของเซี่ยต้านั้นรุนแรงพอที่จะทำให้อสูรเวทระดับเจ็ดตายได้ แต่ไอ้หุ่นเชิดนี่…กลับยังสภาพดีเหมือนเดิม ไม่มีแม้กระทั่งรอยขีดข่วน!

นี่มันอาเพศอะไรกัน…มันแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

รูม่านตาของเซี่ยต้าหดแคบ จากนั้นเขาก็ยืดอกขึ้นแล้วหัวเราะออกมา

เขากระทืบเท้าหนึ่งข้างลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ทำให้พื้นหินเบื้องล่างแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ร่างทั้งร่างกระเด้งขึ้นพร้อมซัดหมัดหินผาใส่เจ้าขาวอีกครั้ง

หากทำลายมันไม่ได้ในหมัดสองหมัด…เช่นนั้นก็เอาไปเสียสิบหมัดร้อยหมัดเลยจะเป็นอะไรไป…ป่านนั้นไม่พังก็ต้องพังกันแล้ว!

ปัง!

แต่คราวนี้หมัดของเขาส่งไปไม่ถึงตัวเจ้าขาว

ลำแสงสีแดงในดวงตาเจ้าขาวหยุดกะพริบ มันฟาดฝ่ามือใหญ่เหมือนพัดลงมาตบเซี่ยต้าที่เพิ่งออกวิ่งได้ไม่กี่ก้าว อัดกระแทกอีกฝ่ายลงบนพื้นทันที

“ไอ้บัดซบ!” เซี่ยต้าโกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก ไอ้หุ่นเชิดนี่เล่นโจมตีเขาชนิดไม่ทันตั้งตัวชัดๆ!

ปัง! เจ้าขาวเพ่งดวงตาจักรกลไปที่เซี่ยต้า มันยกมือขึ้นแล้วตบลงอีกครั้ง คราวนี้ร่างของเซี่ยต้าอัดยุบลงกับพื้นพร้อมเสียงดังตูม เศษอิฐกระจายไปทั่ว

พื้นตรงบริเวณนั้นไม่เหลือซากไปเรียบร้อย

รอยแตกบนพื้นลากยาวไปถึงบริเวณที่เจ้าดำนอนอยู่ แล้วรอยก็หยุดกะทันหันราวกับถูกพลังที่มองไม่เห็นสกัดเอาไว้

เจ้าดำหาวพลางมองเจ้าขาวร่างอ้วนทรมานไอ้ขี้กะโล้ต่อด้วยสายตาสนอกสนใจ…

ปัง!

ท่าทางการตบของเจ้าขาวดูสงบนิ่งมาก แต่เชิ่งมู่และพรรคพวกกลับรู้สึกราวกับตนเองเป็นฝ่ายถูกตีเข้าที่หน้าอกเสียเอง หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น

“ไอ้อัปรีย์ชั่วช้า! ข้าโมโหแล้วนะ!” เสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดตามมาด้วยพลังปราณที่พุ่งทะยานมาหยุดตรงหน้าเจ้าขาว

กระแสพลังปราณนี้พุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า กระจายตัวไปทั่วนครหลวง หลายต่อหลายคนสัมผัสถึงมันได้

พลังกดดันจากขั้นเทพแห่งสงครามระเบิดออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด

ฝ่ามือของเจ้าขาวที่เหวี่ยงลงมาบนตัวถูกเซี่ยต้าจับเอาไว้ได้ เซี่ยต้าป้องกันตนเองด้วยเกราะพลังปราณเที่ยงแท้ เขาค่อยๆ ยกฝ่ามือของเจ้าขาวขึ้น ดวงตาจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบ

ตัวเขานั้นลืมไปแล้วว่าตนเองตกเป็นรองผู้อื่นครั้งสุดท้ายเมื่อใด แต่การถูกตบจนสิ้นสภาพลงกับพื้นอย่างไร้ทางสู้เช่นนี้ ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้

ปกติแล้วมีแต่เขาที่เป็นคนทรมานทรกรรมผู้อื่น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าปฏิบัติกับเขาเช่นนี้!

ชุดเกราะที่สร้างจากพลังปราณเที่ยงแท้เปล่งประกายงดงามราวกับทำมาจากสิ่งที่จับต้องได้จริง นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของปราณขั้นเทพแห่งสงคราม ทันทีที่บรรลุปราณขั้นนี้ ผู้ฝึกตนจะสามารถสร้างพลังปราณที่จับต้องได้จริงในแก่นพลังปราณของตน จากนั้นหากหมั่นบำรุงแก่นพลังปราณอย่างต่อเนื่อง และหากมีพลังชีวิตมากพอ ขั้นเทพแห่งสงครามจะสามารถสร้างพลังปราณขึ้นมาให้กลายเป็นอาวุธที่จับต้องได้

“หุ่นเชิดของเจ้ามีกลเม็ดเด็ดพรายอยู่มากมายทีเดียว แต่รอก่อนเถิด…พอข้าฉีกไอ้หุ่นเวรนี่เป็นชิ้นๆ แล้ว ข้าจะขยี้เจ้าให้แหลกเลยคอยดู!” เซี่ยต้าตวัดสายตาไปมองปู้ฟาง ในฐานะเจ้าของหุ่นเชิด ชายหนุ่มเป็นตัวการหลักที่ทำให้เขาต้องอับอายขายขี้หน้าขนาดนี้

รังสีสังหารสาดออกจากร่างของเซี่ยต้าอย่างชัดเจน ทำให้ตัวเขาดูน่ายำเกรงขึ้นอีก พลังกดดันที่แผลงฤทธิ์ไปในอากาศทำให้เชิ่งมู่และพรรคพวกหายใจลำบาก

จู่ๆ ดวงตาของเจ้าขาวที่จ้องเซี่ยต้าอยู่ก็ระเบิดแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา จนทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นตาแทบบอด

“จับได้ถึงรังสีสังหารที่มีต่อนายท่าน เปลี่ยนระบบปฏิบัติการ เตรียมสังหาร”

ทันทีที่ลำแสงสีแดงสว่างขึ้นจนถึงขีดสุดมันก็ค่อยๆ ดับลง แล้วเปลี่ยนเป็นแสงสีม่วงประหลาด สีม่วงแปลกตานี้ทำให้ทั้งร่างกายและหัวใจเซี่ยต้าสั่นสะท้าน เขารู้สึกได้ถึงหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้

เจ้าขาวตาสีม่วง เริ่มปฏิบัติการแล้ว!

ปัง!!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD