นี่เป็นครั้งแรกที่เปี้ยนฉางกงเจอกับกระแสพลังที่รุนแรงถึงเพียงนี้ เขาแทบลืมไปแล้วว่าความรู้สึกกลัวจนหัวใจกระตุกเป็นอย่างไร ความรู้สึกที่ห่างหายไปนานจนถูกฝังกลบเอาไว้ในความทรงจำกลับมาโจนทะยานอีกครั้ง
หุ่นเชิดตรงหน้านี้ไม่ได้ปล่อยพลังปราณกดดันรุนแรงจนตัวเขาทนไม่ได้ แต่มันให้ความรู้สึกร้ายกาจน่ากลัวเป็นอันตรายต่อชีวิตชัดเจนอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน หุ่นเชิดตัวนี้ไม่สามารถสะกดเขาไว้ได้ด้วยพลังปราณ แต่ในแง่ความสามารถในการต่อสู้แล้ว เขาไม่มีอะไรเทียบเทียมมันได้แม้แต่น้อย
กระบี่ยักษ์ที่ฟาดฟันลงมาทำให้พลังปราณเที่ยงแท้จากหอกยาวของเปี้ยนฉางกงสลายหายไปเหมือนฤดูเหมันต์ที่ถูกเพลิงร้ายผลาญทำลาย เหมือนน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นสายน้ำ การโจมตีของเขาไม่ได้ทำให้หุ่นเชิดตัวนี้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
เปี้ยนฉางกงตัวแข็งทื่อตั้งแต่หัวจดเท้า การวาดคมกระบี่ลงมาเพียงครั้งเดียวของหุ่นเชิดกลับทำให้เขากลัวมากเสียจนรู้สึกเหมือนถูกจับโยนลงหลุมเล็กในทะเลสาบน้ำแข็ง
พลังปราณในกายของชายชราหมุนวนด้วยความยากลำบาก ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งจนยากหาใครเทียบเทียมได้แม้ในวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ แต่บัดนี้กลับไม่เหลืออะไรในร่างนอกจากความกลัวจับขั้วหัวใจ
หอกของเขาถูกปัดออกจากมือ เปี้ยนฉางกงรู้สึกได้ถึงความเจ็บจี๊ดที่แล่นระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ เขายืนนิ่งอยู่กับที่ สัมผัสได้ถึงลมแรงที่พัดผ่านร่างกาย
วืด!
เสียงคมกระบี่ตัดผ่านเนื้อดังชัดเจนในโสตประสาท ทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เจ้าขาวตาสีม่วงตรงหน้ารวดเร็วจนน่าตกใจ ราวกับเป็นสายลมพัดผ่านร่างของเขาไปพร้อมกระบี่ขนาดใหญ่ก็ไม่ปาน
จากนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้นเบื้องหลังเขา
เปี้ยนฉางกงพลันรู้สึกเหมือนมีตะกั่วหนักทับโถมลงมาที่อก ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ลมหายใจหอบถี่
ชั่วขณะนั้นทุกสรรพสิ่งในตรอกเล็กเหมือนหยุดเคลื่อนไหวไปดื้อๆ
อะไรบางอย่างที่ดูเหมือนลูกบอลยางกระเด้งกระดอนอยู่บนพื้นเสียงดังตุบตับ…หัวใจของทุกคนในที่แห่งนี้สั่นสะท้าน ต่างหันไปมองผู้ที่อยู่เบื้องหลังเปี้ยนฉางกงด้วยสายตาขนพองสยองเกล้า ร่างสั่นระริกเหมือนนกน้อยที่หวาดกลัว
เสียงกรีดร้องดังขึ้นชั่วอึดใจจากนั้นก็เงียบไป ราวกับว่าเจ้าของเสียงถูกบีบคอจนหมดแรงดิ้นรน
เปี้ยนฉางกงค่อยๆ หันหน้ากลับไปมอง ดวงตาแก่ประสบการณ์หดแคบ สันหลังเย็นวาบจนขนหัวแทบลุก
เจ้าขาวเองก็หันศีรษะหุ่นยนต์ของมันมาเช่นกัน แสงสีม่วงในดวงตากะพริบอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาจากอเวจีที่ทำให้ทั้งสวรรค์และผืนดินต้องสั่นสะท้านด้วยรังสีสังหารหายวับไปราวกับเป่าเทียน
ตอนนั้นเองบรรดาฝูงชนต่างรู้สึกว่าแรงกดดันที่กดทับหัวใจอยู่สลายหายไปแล้ว ต่างพากันหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน
เบื้องหน้าเจ้าขาวมีร่างใหญ่ร่างหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างนั้นเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแกร่งจนเหมือนมังกรทระนง แต่ศีรษะกลับไม่อยู่บนบ่าเสียแล้ว
เลือดสดๆ พุ่งทะลักออกจากลำคอเหมือนน้ำพุแห่งความตาย ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วตรอกเล็ก
กระบี่ยักษ์ในมือเจ้าขาวเปลี่ยนกลับเป็นฝ่ามือใหญ่เหมือนพัดอีกครั้ง มันหมุนหัวกลับมามองเปี้ยนฉางกงที่ยืนงงอยู่ ดวงตาสีแดงจับจ้องเหยื่อรายใหม่
ขั้นเทพ…แห่งสงคราม…ถูกตัดหัวเช่นนั้นรึ
ในมุมเล็กๆ ไร้ความสำคัญของจักรวรรดิวายุแผ่ว ผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงคราม…กลับมาสิ้นชีพลงที่นี่เช่นนั้นหรือนี่!
ใบหน้าแก่ชราของเปี้ยนฉางกงสั่นสะท้าน เขาค้อมหลังลงต่ำกว่าเดิม
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็พลันเย็นยะเยือก ชายชราเงยศีรษะขึ้นประสานตากับหุ่นเชิดโลหะดวงตาสีแดง
รังสีสังหารที่เปี้ยนฉางกงเกรงกลัวก่อนหน้านี้หายไปแล้ว แต่…เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังจะมาเยือน
“ผู้ก่อเหตุไม่สงบ…จะต้องถูกจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี”
เจ้าขาวประกาศด้วยเสียงจักรกล ดวงตากะพริบแสงสีแดงขณะกวาดตามองร่างของเปี้ยนฉางกง
…
“เถ้าแก่ปู้ ข้าจำเป็นต้องใช้ต้นตื่นรู้ทางห้าสายนี้จริงๆ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าท่านพอจะมอบสิ่งล้ำค่าเหลือแสนนี้ให้ข้าได้หรือไม่”
ดวงตาของมู่หลิงเฟิงเป็นประกายขณะหันไปมองปู้ฟาง เขาเรียกพลังปราณออกมาเป็นไอรอบกาย พลังกดดันจากผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการพุ่งเข้าหาเจ้าของร้านหนุ่ม
ขั้นราชันยุทธการนั้นไม่ต่างอะไรจากมดปลวกในสายตาของขั้นนักพรตยุทธการ เพียงแค่ส่งพลังปราณออกมาก็สามารถทำให้พวกอ่อนด้อยนี้ลงไปคลานสี่ขาเหมือนสุนัขได้แล้ว ความแตกต่างด้านพลังของทั้งสองระดับมีมากถึงเพียงนี้เลยทีเดียว
แม้มู่หลิงเฟิงจะรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าความคิดเขาช่างเป็นเรื่องผิดศีลธรรมพอตัว แต่เขาเองก็อยากดูปู้ฟางคลานสี่เท้าเหมือนสุนัขอยู่เหมือนกัน
ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มโลดแล่นด้วยความตื่นเต้น!
ปราการที่แข็งแกร่งของร้านกำลังต่อสู้กับขั้นเทพแห่งสงครามอยู่ด้านนอก แม้เขาไม่รู้ว่าผลจะจบอย่างไร ทว่าก็ไม่ได้คิดว่าจะมีการพลิกโผแต่อย่างใด เนื่องจากจำนวนของขั้นเทพแห่งสงครามด้านนอกนั้น…มีมากกว่าหนึ่งอย่างแน่นอน
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ารึ”
ปู้ฟางเพิ่งเรียกสติกลับมาได้หลังได้รับคำสั่งใหม่จากระบบ เขาหันมาเห็นชายหนุ่มในชุดแดงกำลังเดินเข้ามาใกล้ตัวเรื่อยๆ พร้อมด้วยร่างกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไอพลังปราณ
สีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายของมู่หลิงเฟิงแตกต่างจากความสง่างามอ่อนโยนยามปกติอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของชายหนุ่ม…ขุ่นมัวด้วยแววประหลาด
คุกเข่าสิ…หรือว่าข้ายังปล่อยพลังออกมาไม่พอ
มู่หลิงเฟิงพึมพำอยู่ในใจขณะก้าวออกไปข้างหน้า แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของปู้ฟาง
ชายหนุ่มก้าวออกไปอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มพลังกดดันขึ้นอีกระดับ จนมาอยู่ในขั้นที่ทำให้ผู้ฝึกตนระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการทานทนไม่ได้ อย่าว่าแต่พวกขั้นราชันยุทธการมดปลวกเลย
ปู้ฟางกะพริบตาปริบ มองใบหน้าแดงก่ำของชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้ ชายชุดแดงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ไอ้หมอนี่…รอยหยักในสมองมีน้อยรึ
เหตุใดจึงยังไม่คุกเข่าลงอีก ทำไมถึงยังยืนสงบนิ่งอยู่ได้ทั้งๆ ที่ข้าปล่อยพลังออกมามากมายถึงเพียงนี้! เป็นไปไม่ได้!
ม่านตาของมู่หลิงเฟิงหดแคบ ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าพลังของตนไม่สามารถสะกดปู้ฟางไว้ได้ ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD