ตอน บทที่ 246 อาหารจานนี้...แสนจะไม่เอาอ่าว จาก ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 246 อาหารจานนี้...แสนจะไม่เอาอ่าว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายSlice of Life ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ที่ใจกลางดินแดนป่ารกชัฏ มีเมืองเมืองหนึ่งซึ่งรายล้อมด้วยอาคารมากมาย เมืองนี้ถูกปกป้องด้วยกำแพงหนา ภายในเมืองมีบ้านเรือนเรียงกันเป็นแนวนับไม่ถ้วน
ที่ใจกลางเมืองมีหอคอยสีดำทมิฬซึ่งดูราวกับทำมาจากโลหะผสมตั้งอยู่ หอคอยแต่ละชั้นดูเกินจริงจนน่าอัศจรรย์ใจ สีดำของหอคอยให้ความรู้สึกเรียบง่ายของรูปแบบการก่อสร้างที่ไร้ซึ่งการตบแต่ง
เชิ่งมู่ยืนอยู่ตรงหน้าหอคอย ผู้อาวุโสสองคนซึ่งนั่งสูงอยู่เหนือชั้นแรกของหอคอยกำลังมองประเมินชายหนุ่มก่อนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เชิ่งมู่โค้งคารวะก่อนจะเดินเข้าหอคอยไป เขาเดินขึ้นไปบนบันไดที่มีลมพัดแรงและไม่หยุดเท้าจนมาถึงยอดหอคอย
ข้างบนนั้นมีห้องเพียงห้องเดียว เชิ่งมู่พึมพำบางอย่างออกมา จากนั้นประตูเหล็กที่ก่อนหน้านี้ปิดสนิทก็ค่อยๆ เปิดออกส่งเสียงดังเสียดหู ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกยำเกรงแล้วก็พบว่าตนเองกำลังจ้องความมืดมิดดำทมิฬอยู่
“ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยอวี่…ข้าน้อยเชิ่งมู่ขออนุญาตเข้าพบท่านขอรับ” เชิ่งมู่ก้มศีรษะทำความเคารพก่อนเดินเข้าไปในห้องสีดำสนิทแต่กว้างขวาง
อากาศส่งเสียงอื้ออึง ร่างกำยำร่างหนึ่งปรากฏออกมาจากความมืดมิดแล้วเดินตรงเข้ามาช้าๆ ร่างนี้ดูสูงใหญ่แม้เมื่อเทียบกับเซี่ยต้า แค่มองดูกล้ามเนื้อทั่วตัวก็รู้สึกเหมือนถูกคุกคามแล้ว
ความรู้สึกศรัทธาแล่นผ่านนัยน์ตาของเชิ่งมู่ก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็วขณะที่เขาประสานมือคารวะคนตรงหน้า
“เชิ่งมู่จากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์ เจ้ามาที่นี่มีธุระอะไร” ร่างของเซี่ยอวี่ใหญ่โตไม่ต่างจากอสูรเวท ทว่าฝีเท้าของเขากลับเงียบกริบราวเสือย่อง ราวกับว่าเขาค่อยๆ ลอยมาแทนที่จะเดินอย่างไรอย่างนั้น
“ผู้อาวุโสสูงสุดเซี่ยต้า…สิ้นชีพแล้วขอรับ” เชิ่งมู่ตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงโศกสลด
ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ตรงหน้าก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เขามองอีกฝ่ายเขม็งพลางเปล่งเสียงอย่างเย็นชา “เจ้าพูดบ้าอะไร แม้เซี่ยต้าจะเป็นน้องข้า แต่พลังปราณของเขาก็อยู่ในขั้นเทพแห่งสงคราม จะตายง่ายตายดายได้อย่างไร เขาไม่ใช่ว่าโง่เง่าไร้ปัญญาเสียหน่อย ข้าเองก็อุตส่าห์ย้ำแล้วว่าอย่าไปเที่ยวยุแหย่พวกอสูรเฒ่า แล้วเหตุใดเขาถึงได้ตายได้”
เชิ่งมู่ตัวสั่นเทา เหงื่อเย็นๆ ไหลอาบแผ่นหลัง เซี่ยอวี่คือผู้อาวุโสสูงสุดของสามวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ไม่ต้องเอ่ยก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าระดับพลังปราณของเขานั้นแกร่งกล้ายากหยั่งถึง เขาบรรลุขั้นเทพแห่งสงครามเมื่อหลายปีก่อน และใกล้จะพิชิตขั้นเซียนเทพเต็มที เรื่องนี้ทุกคนต่างรับรู้กันมาเนิ่นนานแล้ว และจนตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าระดับปราณของชายผู้นี้อยู่ที่ขั้นใดกันแน่
เชิ่งมู่เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจักรวรรดิวายุแผ่วให้เซี่ยอวี่ที่กำลังเดือดจัดฟังอย่างขลาดกลัว จากนั้นก็ปิดปากนิ่งสนิท ความกลัวของเขาเกิดจากไอสังหารเย็นเยียบที่ชายร่างยักษ์ตรงหน้าปล่อยออกมา แม้แต่อากาศรอบตัวก็ดูเหมือนจะถูกแช่แข็งด้วยความกลัวไม่ต่างกัน
“เจ้านั่นกล้าสังหารน้องข้า…ต่อให้มันเป็นขั้นเซียนเทพ มันก็ต้องชดใช้อย่างสาสมแน่นอน!” เซี่ยอวี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดวงตาแดงก่ำด้วยรังสีสังหาร
จากนั้นเขาก็หันมามองเชิ่งมู่พลางตะโกนเสียงกร้าวอย่างเย็นชา “ไสหัวไป!”
ใบหน้าของเชิ่งมู่ซีดเผือด เขาเงยหน้ามองเซี่ยอวี่ผู้น่าหวั่นเกรง และแม้จะกำลังอยู่ในอารมณ์โศกเศร้า แต่ชายหนุ่มก็เลือกจากมาโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขาลงจากหอคอยมาด้วยใบหน้าที่มืดครึ้มไม่ต่างจากรัตติกาล ทว่าสุดท้ายชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังกึกก้องจนอากาศรอบตัวเหมือนจะสั่นสะท้านเพราะเสียงนั่น
…
ปู้ฟางมั่นใจแล้วว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่า “สรวงสวรรค์ของบุรุษเพศ” ว่ากันว่าเมืองเจียงหนานซึ่งอยู่ทางใต้ของจีนนั้นจัดเป็นเมืองของเหล่าชายเสเพล ส่วนนครใต้ก็อยู่ทางทิศใต้ของจักรวรรดิวายุแผ่วเช่นกัน หากคิดในแง่นี้ สถานที่ทั้งสองแห่งนี้ก็ทับซ้อนกันไม่เพียงในแง่ของที่ตั้ง แต่เป็นในแง่ของความเสเพลของชาวเมืองด้วย
ในนครหลวง สถานที่อย่างหอนางโลมจะทำตัวประเจิดประเจ้อมากไม่ได้เพราะเป็นเมืองที่จักรพรรดิประทับอยู่
ในชาติที่แล้วปู้ฟางเป็นพ่อครัวหนุ่มที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น วันๆ เขามีภาระหน้าที่เต็มไปหมด เป็นธรรมดาที่ย่อมไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนสถานที่เช่นนี้
ทว่าตอนนี้เขากลับพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในที่ที่ตกแต่งอย่างงดงาม สวยเสียจนเทียบได้กับท้องพระโรงของวังหลวงเลยทีเดียว ไม่แปลกเลยที่เหตุใดนครใต้จึงขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความร่ำรวยของจักรวรรดิวายุแผ่ว ที่นี่มีเหล่าคนกระเป๋าหนักมากมายจริงๆ
สีหน้าของปู้ฟางยังคงนิ่งขรึมแม้ข้างในจะรู้สึกยุ่งยากใจ สถานที่สำหรับเสพโลกีย์หรือ…ฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แต่อาหารของที่นี่จะเป็นเช่นไรเล่า จะมีของอร่อยประจำท้องถิ่นอยู่บ้างหรือเปล่า
ถ้าแม่นางหลิวที่เป็นคนลากเขาเข้ามาอ่านความคิดในตอนนี้ของเขาได้…นางคงประเคนรองเท้าใส่หน้าเขาตุ้บใหญ่แน่นอน
“คนหนุ่มแน่นอย่างเจ้าเข้าหอวสันต์สุคนธ์มาเพื่อชิมอาหารเนี่ยนะ ช่วยสำแดงความหื่นกระหายของวัยหนุ่มออกมาหน่อยเถอะ” หากรู้เข้านางคงต้องพูดอะไรเช่นนี้ออกมาแน่
ต้องยอมรับตามตรงว่าใจของชายหนุ่มกระตุกไปชั่วเสี้ยวลมหายใจ แต่ท่าท่างโดยรวมก็ยังสงบนิ่งได้อยู่ แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยหญิงสาวหุ่นสะคราญก็ตาม ไม่นานแม่นางหลิวคนเดิมก็ลากเขาเข้ามาในห้องที่สว่างเจิดจ้าห้องหนึ่ง
เมื่อนั่งลงที่โต๊ะ แม่นางหลิวก็ยกยิ้มสวยพลางส่งสัญญาณให้สตรีวัยรุ่นหน้าตาสะสวยสองนางเข้ามา
“พวกเจ้าดูแลคุณชายน้อยผู้นี้ด้วย ท่านผู้นี้มีรสนิยมไม่เหมือนใคร ดังนั้นพวกเจ้าต้องเอาอกเอาใจเขาเป็นพิเศษเล่า เข้าใจหรือไม่”
“อย่าได้เป็นห่วงเลยท่านป้าหลิว คุณชายน้อยท่านนี้หน้าตาหล่อเหลาน่ากิน แค่คิดข้าก็สะท้านไปทั้งตัวแล้ว”
แม่นางหลิวยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากพลางส่งเสียงหัวเราะกิ๊ก “นี่แม่สาวๆ หัดยับยั้งตัวเองเสียบ้างเถอะ ถ้าเช่นนั้นป้าหลิวของพวกเจ้าขอตัวก่อน ชุนฮัว ชิวเยว่ ที่เหลือยกให้เป็นหน้าที่พวกเจ้าแล้ว”
แม่นางหลิวทำงานในแวดวงนี้มานานจนมีสายตาเฉียบแหลม สามารถระบุชายกระเป๋าหนักได้จากเสื้อผ้าที่ใส่และนิสัยใจคอ
ปู้ฟางแต่งตัวเรียบร้อยดูดีรูปร่างหน้าตาก็หมดจด เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ทำมาจากวัตถุดิบชั้นเลิศ มองด้วยตาเหยี่ยวของนางแล้ว นางระบุได้ทันทีว่าชุดนี้จะต้องเป็นฝีมือการทอของหมู่บ้านผ้าไหมในนครหลวง ผ้าไหมของที่นั่นราคาแพงระยับ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีปัญญาจับจ่ายได้แน่ ดูรวมๆ แล้วชายหนุ่มผู้นี้เป็นเศรษฐีอย่างไม่ต้องสงสัย อาจเป็นพ่อหนุ่มเสเพลจากนครหลวงที่อยากมาหาความสำราญถึงที่นี่ก็เป็นได้
ถ้าไม่ใช่ด้วยสถานะของชายหนุ่ม ต่อให้หล่อเหลาปานเทพบุตรเพียงใดนางก็ไม่ลากอีกฝ่ายเข้ามาเด็ดขาด
ทันทีที่ไหล่ถูกนวดคลายความตึงเครียด ปู้ฟางก็รู้สึกแปลกๆ ตอนนั้นเองสีหน้าของเขาก็แสดงอาการสับสนออกมา ชายหนุ่มรีบกระแอมกระไอกลบเกลื่อน “นี่…เลิกนวดให้ข้าได้แล้ว มันทำให้ข้ารู้สึกแปลกพิกล รีบไปเปิดประตูเร็วเข้า หุ่นเชิดของข้ายังอยู่ข้างนอกนั่น ไปพามันเข้ามาที
ชิวเยว่อึ้งไป หุ่นเชิดหรือ
ทันทีที่เปิดประตูชิวเยว่ก็แทบกระโดดกลับเข้ามาในห้องด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นก้อนเหล็กอ้วนกลมดวงตาสีแดงฉานยืนอยู่ตรงทางเดิน
“เจ้านั่นละ พามันเข้ามาแล้วรีบๆ เอาอาหารมาให้ข้าเร็วเข้า” ปู้ฟางพูดเสียงดัง
เมื่อชิวเยว่พาเจ้าขาวเข้ามาในห้อง บรรยากาศยั่วยวนที่รู้สึกได้ชัดเจนก่อนหน้านี้ก็สลายหายไปกว่าครึ่ง ชิวเยว่ไม่คุ้นเคยกับภาพตรงหน้าเลยสักนิด…
‘หรือคนพวกนี้จะแค่มาสำรวจหอวสันต์สุคนธ์กัน สถานการณ์ตรงหน้าข้าดูไม่เข้าที่เข้าทางเอาเสียเลย’ หญิงสาวคิดในใจ
ผ่านไปพักใหญ่ ชุนฮัวก็กลับเข้ามาโดยมีบรรดาสาวใช้เดินตามมาด้านหลัง สาวใช้เหล่านี้ยังดูอ่อนวัยนัก ใบหน้าล้วนผุดผ่องไร้เดียงสา
หญิงสาวเหล่านี้ถือจานอาหารส่งกลิ่นหอมที่ทำให้หลายๆ คนต้องตาเป็นประกายเข้ามาด้วย
ปู้ฟางมองอาหารเหล่านี้พลางสูดลมหายใจลึก การได้มองอาหารทำให้จิตใจของเขาสงบลงไม่น้อย
“คุณชายน้อย เหล่านี้คืออาหารขึ้นชื่อของนครใต้ น้ำแกงดอกบัวรสชาติอร่อยล้ำ ส่วนนี่คือปลาสามรส แล้วนี่คือผัดรากบัว…” ชุนฮัวชี้ที่อาหารแต่ละจานแล้วแนะนำชื่อให้ปู้ฟางฟัง
ชายหนุ่มพยักหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบรากบัวในผัดรากบัวขึ้นมา
เขาส่งรากบัวเข้าปาก รสชาติของมันกรุบกรอบอมเปรี้ยว ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วมุ่น
“ห่วยจัด! รากบัวเก่าเก็บ รสสัมผัสก็แย่มาก แถมยังใส่น้ำส้มสายชูมากไปเหมือนมีเหลือเยอะเกิน…”
ชุนฮัวกับชิวเยว่อึ้งไป พวกนางมองปู้ฟางที่ยังคงพ่นวาจาตำหนิติเตียนไม่หยุดปากดวงตาเบิกกว้าง ปากของเหล่าสาวใช้ที่ยกอาหารขึ้นมาให้ล้วนอ้าหวอ ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไร
พี่ชาย…คิดจะมาหาเรื่องกันหรืออย่างไร ท่านมาหอนางโลมเพื่อวิจารณ์อาหารเนี่ยนะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD