“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าไอ้ขี้กะโล้โท้นี่มันโง่เง่าหรือไม่ เราเดิมพันกับมัน แต่เรากลับเป็นฝ่ายชี้เป็นชี้ตายว่าอาหารของมันอร่อยหรือไม่อร่อย ต่อให้อาหารของมันอร่อยจริง เราก็แค่ต้องบอกว่าไม่อร่อย แล้วมันจะทำอะไรได้! สุดท้ายก็ต้องคืนตัวน้องหญิงให้เรา” โอวหยางตี้กระซิบกระซาบกับโอวหยางเจินที่มีสีหน้าเคร่งขรึม
โอวหยางเจินเหลือบมองน้องชายคนที่สามจากนั้นก็พ่นลมเยาะออกมา “ด้วยต่อมรับรสที่ตายด้านของเรา ต่อให้เป็นอาหารชั้นเลิศในพระราชวังก็ยังมีรสชาติจืดชืดเหมือนกันหมดไม่มีผิด เจ้าคิดว่าเราจะแยกออกหรือว่าจานใดอร่อยจานใดไม่อร่อย เจ้าพูดเล่นหรือโง่จริงกันแน่”
“ไอ้ขี้กะโล้โท้นั่นถึงอย่างไรก็แพ้เดิมพันแน่นอน” โอวหยางเจินตอบอย่างผู้ชนะ หนวดกระดิกตามแรงลม
“พี่ใหญ่สมกับเป็นมันสมองของเราจริงๆ ท่านอ่านสถานการณ์ขาดทันที เป็นเพราะเราดื่มสุรามากเสียจนต่อมรับรสพังไปหมด ทุกอย่างกลับกลายเป็นไร้รสชาติเหมือนน้ำเปล่าไม่มีผิด นอกจากสุราที่ยังรับรสได้อยู่ แต่จะว่าไปมันก็ไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าใดหรอกนะ” โอวหยาวอู๋เอ่ยพร้อมถอนหายใจ
“น้องสอง! ไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่เรารับเสี่ยวอี้กลับบ้านได้แล้ว ข้าจะให้เจ้าดื่ม ‘สุราเพลิงชัชวาลหอมชั้นเยี่ยม’ ที่ท่านจักรพรรดิประทานให้ข้า! รับรองว่าร่างทั้งร่างของเจ้าได้ลุกเป็นไฟด้วยรสชาติแสนเลิศล้ำแน่!” โอวหยางเจินพูดพร้อมตบบ่าโอวหยางอู๋
“ฮ่า! ขอบคุณนะพี่ใหญ่! ด้วยต่อมรับรสที่ตายด้านเช่นนี้ มีเพียงสุราเท่านั้นที่เราจะดื่มด่ำกับรสชาติได้!” โอวหยางอู๋ยิ้มเผล่
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกันนั้น ปู้ฟางก็กำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัว
ปลาทะเลน้ำแข็งต้องหมักเอาไว้ก่อนที่จะทำปลาดองเหล้า เขาเตรียมปลาเอาไว้เพียงสองตัวเมื่อคืน และตัวแรกก็ทำให้ลูกค้ากินไปแล้ว จึงเหลืออยู่เพียงตัวเดียว แต่ในเมื่อมีคนสั่งอีกครั้งก็ต้องนำออกมาทำ
หลังจากเอาธัญพืชหมักเหล้าออกจากผิวของปลาแล้ว ชายหนุ่มก็บั้งปลาสองครั้ง แล้วเอาใส่ซึ้งไม้ไผ่เพื่อนึ่งให้สุก
ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มทำข้าวผัดไข่กับน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา
กลิ่นของข้าวผัดไข่นั้นหอมมาก กลิ่นหอมลอยออกจากครัวเข้าห้อมล้อมสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางเอาไว้ทันทีราวกับเป็นผ้าไหมอ่อนนุ่ม ทั้งสามเริ่มดมจมูกฟุดฟิด
“กลิ่นหอมเป็นบ้า! ดูเหมือนว่าไอ้ขี้กะโล้โท้นี่จะมีความสามารถอยู่เหมือนกัน” โอวหยางตี้เอ่ย สีหน้าดื่มด่ำกับกลิ่นหอมของอาหาร
อีกสองคนนั่งเงียบ ไม่ได้สนใจกลิ่นหอมมากนัก ไม่ว่าอาหารจะหอมเพียงใด เมื่อมาเจอเข้ากับต่อมรับรสพังแสนพังของพวกเขา ทุกอย่างก็รสชาติเหมือนน้ำเปล่าอยู่ดี
เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้ไม่อยู่แถวนั้น ปู้ฟางก็ต้องนำอาหารออกมาให้ลูกค้าด้วยตนเอง เขาวางข้าวผัดไข่ลงบนโต๊ะพร้อมเอ่ยออกมา “เอ่อ… ใครสั่งข้าวผัดไข่ก็กินให้อร่อยแล้วกันนะ”
ในเมื่อคนทั้งสามหน้าเหมือนเตียวหุยเหมือนกันไปหมดสำหรับปู้ฟาง ที่มีปัญหาเรื่องการแยกแยะใบหน้าคนอยู่แล้วเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงบอกไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
“ของข้า” โอวหยางอู๋หรี่ตา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ข้าวผัดไข่แล้วสูดหายใจเข้าลึก กลิ่นหอมพุ่งเข้าโพรงจมูกของเขาทันที ชายหนุ่มหน้าเถื่อนพลันคิดว่าอาหารชามนี้ช่างหอมเสียจริง
และแล้วโอวหยางอู๋ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตักข้าวผัดไข่ขึ้นมาเต็มช้อนแล้วเอาเข้าปาก เมื่อไข่ข้นที่เหมือนของเหลวเข้าปากมันก็จับตัวแข็งทันที พอผสมเข้ากับข้าวไข่มุก ทุกอย่างก็กระเด้งกระดอนในปากของชายหนุ่ม ให้ความรู้สึกประหลาดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“เอื๊อก”
หลังจากที่กลืนข้าวผัดไข่ลงไปเรียบร้อย ใบหน้าของโอวหยางอู๋ก็นิ่งสนิท แม้สัมผัสของอาหารจะเลิศล้ำ แต่กลับไม่มีรสชาติแม้แต่น้อย
โอวหยางเจินและโอวหยางตี้ก็ลองชิมเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็ขมวดคิ้ว
“นี่มันบ้าอะไรกัน มันต้องอร่อยรึ… ไม่เห็นมีรสชาติบ้าบออะไรเลย” โอวหยางเจินเม้มปาก จากนั้นก็โยนช้อนทิ้งแล้วก่นด่า
ปู้ฟางชะงัก “เป็นไปได้อย่างไร ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงเนี่ยนะไม่อร่อย”
นี่คือครั้งแรกที่ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงของเขาชนะใจลูกค้าไม่ได้
ปู้ฟางดมกลิ่นข้าวผัดไข่ในอากาศ กลิ่นนั้นยังคงหอมเข้มนุ่มนวลเหมือนผ้าไหมอ่อนนุ่มที่สัมผัสใบหน้าเขา “รสชาติก็ไม่ควรมีปัญหานี่!”
“หรือเพราะไอ้สามคนนี้มีต่อมรับรสไม่เหมือนชาวบ้าน” ชายหนุ่มคิด
“ไอ้ขี้กะโล้โท้ รีบๆ โยนผ้ากันเปื้อนทิ้งแล้วเอาตัวน้องหญิงของพวกข้าคืนมาได้แล้ว ทำออกมากี่จานพวกข้าก็ไม่รู้สึกถึงความอร่อยหรอก” โอวหยางตี้พูดอย่างโอ้อวดด้วยรอยยิ้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD