ความมืดของยามค่ำคืนนำพานครหลวงกลับไปสู่ความสงบเงียบที่สุดของวัน ดวงจันทร์เสี้ยวสองดวงที่ลอยอยู่บนนภาทอแสงนุ่มนวลราวกับจะห่มคลุมโลกเอาไว้ด้วยม่านบางๆ
ภายใต้แสงจันทร์เย็นเยียบ เศษอิฐเศษหินบนถนนหนทางยิ่งทำให้นครหลวงดูรกร้างเข้าไปใหญ่ ในยามนี้แทบไม่มีผู้คนเหลืออยู่บนท้องถนน มีเพียงคนงานหยิบมือหนึ่งที่กำลังเก็บกวาดซากปรักหักพังและซ่อมแซมถนนหนทางที่ชำรุด
ภายในครัวของร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
ปู้ฟางหรี่ตาลง ควงมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือพลางหั่นเนื้อมังกรเป็นชิ้นเต๋า เขาจุดไฟตั้งเตา จากนั้นจึงเรียกพลังปราณเที่ยงแท้ในกายออกมาใช้ปรุงเนื้อมังกรด้วยวิธีเดียวกับที่เขาใช้ทำซี่โครงเปรี้ยวหวาน
ถึงแม้ว่าเนื้อตรงหน้าจะเป็นเพียงเนื้อของมังกรอุทกระดับแปด แต่หากใช้การปรุงด้วยพลังปราณ เนื้อก็จะมีรสสัมผัสยอดเยี่ยมและรสชาติแสนตราตรึงใจ
เมื่อเจ้าดำได้กลิ่นหอมหวานของเนื้อมังกรเปรี้ยวหวานที่ปู้ฟางเพิ่งตักออกมา มันก็ถึงกับลิ้นห้อยน้ำลายไหลทันที
เนื้อมังกร… ต้องเอร็ดอร่อยน่าดูทีเดียว!
ปู้ฟางลองชิมไปชิ้นหนึ่งแล้วก็รู้สึกเต็มตื้นกับความยอดเยี่ยมของอาหารจานนี้ เนื้อมังกรมีรสสัมผัสที่มหัศจรรย์ ทั้งนุ่มเด้งและชุ่มฉ่ำเป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มวางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานไว้ให้เจ้าดำ ผู้ซึ่งอดทนมาตลอดคืนจนแทบจะรอไม่ไหวที่จะกระโจนเข้าไปใส่จานกระเบื้อง ทันทีที่ชายหนุ่มวางจาน เจ้าดำก็กระโจนเข้ามากินอย่างมูมมาม
เนื้อของจิ้งเหลนยักษ์นี้รสดีไม่สร่าง นี่ยังไม่รวมทักษะแสนวิเศษของปู้ฟางที่ทำให้รสชาติของมันดียิ่งขึ้นไปอีก
ปู้ฟางยิ้มออกมาเมื่อเห็นเจ้าดำสวาปามซี่โครงอย่างสุขใจ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าช่างโชคร้ายเสียจริงที่ไม่มีน้ำส้มสายชูหมักผลไม้ดีๆ จะได้เอาตับจากมังกรอุทกระดับแปดมาทำหวานเย็นแท่งตับมังกร แต่ช่างปะไร อาหารชั้นเลิศจานนั้นจำเป็นต้องใช้น้ำส้มสายชูหมักผลไม้ชั้นเลิศ หากไม่มีทำไปก็เป็นการสูญเปล่าชัดๆ
ปู้ฟางตัดสินใจเงียบๆ ว่าต้องหาเวลาหมักน้ำส้มสายชูผลไม้ของตนเอง ทว่าสิ่งนี้ถือว่าเป็นงานของอนาคต
หลังจากฝึกทำอาหารอีกสองสามจาน ปู้ฟางก็ตัดสินใจไปพัก เขากลับขึ้นห้องแล้วเตรียมตัวเข้านอน ชายหนุ่มต้องพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่ออยู่ในสภาพที่พร้อมเสมอ การรักษาสภาพจิตใจให้มั่นคงมีผลต่อฝีมือการทำอาหารของเขาอย่างยิ่ง
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงกรนเป็นช่วงก็ดังออกมาจากห้องนอนของปู้ฟาง
…
ท้องพระโรง นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว
แสงสว่างช่วยขับไล่เงามืดที่เคลื่อนที่ไปมาอยู่ภายในท้องพระโรง
เหล่าขุนนางจำนวนมากของจักรวรรดิมารวมตัวกันเพื่อถกเถียงเรื่องปัญหาบ้านเมือง นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วในยามนี้กำลังฟันฝ่าพายุลูกใหญ่ ความวิตกกังวลและตื่นกลัวล้วนปรากฏอยู่บนใบหน้าของเหล่าขุนนาง
ในฐานะขุมกำลังหลักของนครหลวง พวกเขาจึงตระหนักถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ภายในจักรวรรดิเป็นอย่างดี แคว้นทั้งเจ็ดตอนนี้กำลังเผชิญกลียุค ทั้งอสูรเวทที่บุกเข้าโจมตีเมืองและกองกำลังต่างๆ ที่ลุกฮือขึ้นมาก่อการจลาจล
สำหรับคนเหล่านี้ เรื่องทั้งหลายเป็นเรื่องสุดจะคาดเดา ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งจักรวรรดิจะเกิดความโกลาหลหนักภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้
จีเฉิงเสวี่ยที่แม้จะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานแต่ก็ไม่ใช่ผู้นำที่ไร้ความสามารถ ตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์เขาก็ระแวดระวังและคอยจับตาดูอยู่ตลอด ทั้งยังจัดการกับกิจการบ้านเมืองไม่เคยขาด ความวุ่นวายขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลแต่อย่างใด
พ่อลูกตระกูลเซียวนั่งขัดสมาธิหลับตาแน่นอยู่ภายในท้องพระโรง ปิดกั้นเสียงการทุ่มเถียงรุนแรงที่เกิดขึ้นรอบกายไปสิ้น
จีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในท้องพระโรงยกมือขึ้นถูคิ้ว เขามองการปะทะคารมของเหล่าขุนนางด้านล่าง ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนั้นเอง
ตึง!
สียงดังสนั่นที่ฟังคล้ายเสียงกระทืบเท้าหนักๆ ดังขึ้น หลังจากนั้นขันทีคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในท้องพระโรง
“ฝะ… ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ มีคนอยู่ด้านนอก… พร้อมโลงศพ ต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาทพะย่ะค่ะ!” ขันทีคนนั้นละล่ำละลักด้วยสีหน้าตื่นกลัว ใครกันมันช่างบังอาจแบกโลงศพเข้ามาในวังหลวงกัน…
จีเฉิงเสวี่ยยืดหลังตรงทันที ขณะที่พ่อลูกตระกูลเซียวเปิดเปลือกตาขึ้น
บรรยากาศภายนอกท้องพระโรงตอนนี้มืดมนซึมเซา เสียงฝีเท้าหนักอึ้งสะท้อนก้องไปในอากาศ ขณะที่ร่างหลายร่างพากันเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมโลงศพสีดำสนิทในมือ
จู่ๆ สายลมเย็นยะเยือกก็พัดโหมเข้ามาในท้องพระโรง ทำเอาบรรดาขุนนางต่างเงียบปากกันไปหมด ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจ
เงาสี่เงาในชุดดำและหมวกไม้ไผ่ปิดบังใบหน้าเดินอาดๆ เข้ามาในท้องพระโรง
ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ภายใน เงาทั้งสี่ค่อยๆ เดินเข้ามาถึงใจกลางท้องพระโรง พวกเขาวางโลงศพลงบนพื้นเสียงดังสนั่น พื้นในท้องพระโรงถึงกับสั่นไหว
“ราชาอวี่สั่งให้พวกเรานำโลงศพมาส่ง”
เสียงแหบห้าวดังออกมาจากหนึ่งในสี่ร่าง จากนั้นทั้งสี่ก็ยกมือขึ้นคารวะจีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงด้วยท่าทางขอไปที แล้วทั้งสี่ก็หันหลังกลับ เตรียมจะเดินออกไปจากท้องพระโรง
“สามหาว! กล้าดีอย่างไร!”
เซียวเหมิงคำรามด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาแทบจะลุกไหม้ด้วยโทสะ ก่อนจะทุบฝ่ามือลงบนพื้นเสียงดังลั่น ชายวัยกลางคนตะโกนก้อง พุ่งทะยานตามชายทั้งสี่ที่กำลังเดินออกจากท้องพระโรงไป เหล่าทหารยามในวังก็ตามหลังแม่ทัพใหญ่ไปด้วยเช่นกัน
จีเฉิงเสวี่ยไม่ได้สนใจเซียวเหมิงที่ไล่ตามผู้บุกรุกไป กลับกันจักรพรรดิหนุ่มเดินลงจากบัลลังก์ตรงไปทางโลงศพด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เซียวเยวี่ยรีบรุดออกไปปกป้องจีเฉิงเสวี่ยจากอันตรายใดๆ ที่อาจซุกซ่อนอยู่ภายในโลงศพ ทว่าเมื่อเขายกฝาโลงขึ้นก็ไม่พบกับดักใดๆ ร่างทั้งสี่แบกโลงศพธรรมดามาส่งให้จริงๆ
แต่เมื่อทุกคนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่ภายใน ก็ต่างนิ่งงันไปทั้งสิ้น
ร่างที่นอนนิ่งสนิทอยู่คือร่างของเหลียนฟู่ที่เต็มไปด้วยบาดแผลหนัก มีรอยแผลขนาดใหญ่พาดผ่านหน้าอก ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการผู้เกรียงไกร ตอนนี้กลายเป็นเพียงศพเย็นเยียบเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD