เมืองประจิมเร้นลับซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจักรวรรดิวายุแผ่วเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สถานที่แห่งนี้ผ่านความวุ่นวายของช่วงเปลี่ยนผ่านราชวงศ์มาหลายยุคสมัยแล้ว
เมืองเก่าแก่ที่ไม่ต่างอะไรจากชายชราแห่งนี้ ตั้งอยู่บนที่ราบกว้างใหญ่ไพศาลบนทุ่งหญ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ มันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นทางเหนือของจักรวรรดิวายุแผ่ว แถมยังเป็นฐานที่มั่นสำคัญที่เชื่อมที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือเข้ากับดินแดนแสนภูผา
ภายนอกเมืองประจิมเร้นลับ เหนือถนนเก่าแก่ที่มีพายุฝุ่นควันพัดอบอวลอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีสายลมกระโชกแรงพัดผ่าน พาเอาเศษฝุ่นเศษดินกระจายขึ้นไปในอากาศ
หลังจากที่สายลมสงบลง ร่างสองร่างก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากกลุ่มควันสีเหลือง หนึ่งในสองร่างนั้นมีดวงตาที่ส่องแสงสีแดงก่ำน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“แค่ก แค่ก…”
ปู้ฟางใช้มือข้างหนึ่งปิดปากปิดจมูก พลางใช้มืออีกข้างโบกพัดไล่ฝุ่นที่ทำให้เขาหายใจลำบาก
‘สภาพแวดล้อมที่นี่ยังต้องพัฒนาอีกมาก’ ปู้ฟางคิดในใจก่อนจะย่นคิ้ว
หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ เศษฝุ่นที่ถูกลมตีขึ้นมาเมื่อครู่ก็สงบลง ร่างสำเนาของเจ้าขาวเดินตามปู้ฟางไปพร้อมดวงตาสีแดงที่กะพริบอยู่บ่อยครั้ง
ปู้ฟางตบท้องของเจ้าขาวเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังเมืองขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเปล่งรัศมีน่าเกรงขามของโบราณกาล ความยิ่งใหญ่ งดงาม และประวัติที่ยาวนานของเมืองนี้ทำให้ปู้ฟางหายใจไม่ทั่วท้อง
เมืองแห่งนี้คือเมืองประจิมเร้นลับ นัยน์ตาของปู้ฟางเป็นประกายกล้า ที่นี่คือจุดหมายในการเดินทางของเขา ตั้งแต่ที่ได้รับมอบหมายให้มาร่วมกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับในฐานะพ่อครัวประจำกองทหาร
คนและหุ่นยนต์พากันเดินข้ามทุ่งกว้างจนหลังจากผ่านไปพักใหญ่ก็มาถึงประตูเมืองในที่สุด ประตูเมืองของที่นี่สูงตระหง่านเกือบจะเท่าประตูเมืองของนครหลวง ทหารยามจำนวนนับไม่ถ้วนเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยอยู่ตรงหน้าประตูเมือง
ทหารยามเหล่านี้ต่างจากพวกที่อยู่ในนครหลวง หรืออย่างน้อยๆ ความมุ่งมั่นตั้งใจก็ผิดกัน สายตาของพวกเขามีความเฉียบคมที่หาในทหารยามของนครหลวงไม่พบ เป็นความรู้สึกดุดันที่ปู้ฟางไม่อาจอธิบายได้
อาจเป็นเพราะผู้คนในแคว้นภาคตะวันตกเฉียงเหนือกล้าหาญกว่ากระมัง ฉะนั้นจึงฝึกทหารได้ออกมาห้าวหาญอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้
ปู้ฟางตัวเปื้อนไปด้วยฝุ่นแถมยังอิดโรยจากการเดินทาง เขาเดินเข้าไปในเมืองประจิมเร้นลับเคียงข้างเจ้าขาว พร้อมชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ต่างก็ดูเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพอๆ กัน
เมื่อเข้าไปในเมือง ปู้ฟางก็ตัดสินใจที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นของเมืองประจิมเร้นลับ ชายหนุ่มไปหาโรงเตี๊ยมเอาไว้ก่อน เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เป็นพ่อครัวประจำกองทหารในทันที อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งของที่นี่
ปู้ฟางใช้เวลาราววันครึ่งเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองและลองชิมอาหารจานเด็ดของที่นี่ อาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้ทำง่ายและมีรสชาติอ่อนกว่า เทียบไม่ได้กับอาหารจานเด็ดของเมืองนครใต้ที่เปี่ยมด้วยความหรูหราฟู่ฟ่า
มีอาหารที่ทำจากข้าวสาลีหลายรายการ แล้วก็มีอาหารปิ้งย่างแบบง่ายๆ ไม่ปรุงแต่งมากนัก ปู้ฟางลองชิมทุกอย่างเพื่อรับรู้รสชาติเฉพาะตัวของอาหารแต่ละจาน
อย่างไรก็ตามปู้ฟางไม่เจออาหารโอชะจานใดที่คู่ควรจะถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกสูตรอาหารของเขา ซึ่งนับว่าน่าเสียดายพอสมควร แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วายลองชิมของอร่อยทั่วบริเวณต่อไป
แต่เขาก็ไม่มีเวลาพอที่จะหาของอร่อยชิมจนครบ เพราะต้องรีบไปหากองทัพเพื่อจะได้เข้าร่วมให้เร็วที่สุด
ปู้ฟางหย่อนตัวลงตรงที่นั่งข้างหน้าต่างในภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนไปมาขวักไขว่ เขาชิมอาหารเลิศรสของแคว้นภาคตะวันตกเฉียงเหนือไปพร้อมๆ ซึมซับทัศนียภาพอันงดงามของเมืองไปด้วย ความปลอดภัยของย่านนี้นับว่ายอดเยี่ยมเพราะมีทหารยามถือหอกยาวเดินตรวจตราให้เห็นอยู่ทั่วไป
ปู้ฟางยกมือเรียกพนักงาน หยิบเหรียญทองออกมาเหรียญหนึ่ง ก่อนจะส่งให้พนักงานที่ขาใช้การได้เพียงข้างเดียว
“นายท่าน… นี่มันมากเกินไปขอรับ” ชายร่างใหญ่คนนั้นจ้องมองปู้ฟางด้วยสายตางุนงง จ่ายค่าอาหารหนึ่งมื้อด้วยหนึ่งเหรียญทอง… พ่อหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ต้องร่ำรวยมากแน่
“ไม่เลย นอกเจากค่าอาหารแล้ว ให้เจ้าคิดเสียว่าเงินส่วนที่เกินมาเป็นค่าตอบคำถามของข้าก็แล้วกัน” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
นัยน์ตาของพนักงานจู่ๆ ก็ลุกโชนขึ้น เขาจ้องปู้ฟางเขม็งก่อนจะยกมือทุบอก “นายท่านช่างเปี่ยมเมตตา ได้โปรดถามข้ามาเลย ข้าจะแถลงไขให้หมดจดไม่หมกเม็ดทุกรายละเอียดที่ข้ารู้”
ปู้ฟางนิ่งคิดอยู่ชั่วขณะ เขาจ้องพนักงานตรงหน้าก่อนจะเปิดปาก “เมืองประจิมเร้นลับนี้มีกองทัพกี่กองกัน”
พนักงานขาเป๋ถึงกับตกใจกับคำถามของปู้ฟาง เขาจ้องมองชายหนุ่มพลางย่นคิ้วก่อนจะตอบ “นายท่าน เมืองประจิมเร้นลับมีกองทัพเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับที่บุรุษทุกคนในแคว้นทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือเฝ้าฝันหา”
“หือ ผู้ชายทุกคนแถบนี้อยากจะเข้ากองทัพกันหมดเลยหรือ กองทัพนี้มันดีอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ น่ะหรือ”
“ว่ากันตามตรง ข้าเองก็เคยเป็นทหารในกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเช่นกัน แต่ขาข้างหนึ่งเกิดไร้ความรู้สึกไประหว่างการสู้รบ หลังจากนั้นข้าจึงต้องออกจากกองทัพมาเป็นพนักงานร้านอาหารเช่นนี้” เขาอธิบายพลางยกมือไปตบขาข้างที่ใช้การไม่ได้
“หากไม่ใช่เพราะว่าขาเสีย ข้าก็คงจะอยู่ในกองทัพไปจนกระทั่งเลือดหยดสุดท้ายเหือดแห้ง! ข้าได้ยินมาว่าจักรวรรดิวายุแผ่วกำลังโกลาหลหนักในช่วงนี้และสงครามอาจปะทุขึ้นในไม่ช้า… ไม่มีใครรู้ว่าสหายของข้าสักกี่คนจะต้องสังเวยชีวิตไปบนสนามรบ”
ความเศร้าโศกเสียใจฉายวาบขึ้นมาบนใบหน้าของผู้เป็นพนักงาน
ปู้ฟางนิ่งเงียบ ชายหนุ่มไม่ค่อยคุ้นชินกับเรื่องดังกล่าวเท่าใดนัก พนักงานคนนี้เคยอยู่ในกองทัพมาก่อน จึงอาจเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะมีอารมณ์ร่วมมากเป็นพิเศษ
กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับ… ฟังดูน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย
“เจ้าเล่าเรื่องกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับให้ข้าฟังอีกได้หรือไม่” ปู้ฟางถาม
“แน่นอนขอรับ กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเป็นกองทัพที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะเป็นกองกำลังหลักที่ปกป้องเมือง” พนักงานพูดต่อไป “เพราะสถานที่ตั้งอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ ทำให้เราต้องประสบภัยพิบัติทุกๆ ปี บางครั้งอสูรเวทที่เดินหลงออกมาจากดินแดนแสนภูผาก็เข้ามาบุกเมือง ปัญหาเหล่านี้กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับจะต้องเข้ามาแก้ไข และทุกๆ ครั้งอสูรร้ายเหล่านั้นก็จะถูกกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับสังหาร เพื่อไม่ให้เป็นภัยแก่ประชากรในเมือง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD