ยามกลางคืนในทุ่งกว้างทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีแต่ความมืดมิดและโดดเดี่ยว ผืนดินเปื้อนเลือดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์
ขณะนี้เมืองโม่หลัวสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ประตูเก่าแก่เปิดออกพร้อมเสียงดังสนั่น กลุ่มทหารท่าทางมีระเบียบเดินออกมาจากเมือง โม่หลินนำทัพของตนมุ่งหน้าไปยังเมืองประจิมเร้นลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ฝูงอสูรเวทเพิ่งจะล่าถอยไป นับเป็นเวลาดีที่พวกเขาจะเข้าโจมตี นี่เป็นโอกาสที่พวกเฝ้ารอมานานเพื่อจะลอบโจมตีเมืองประจิมเร้นลับซึ่งกำลังพักฟื้นจากการบุกของฝูงอสูรเวท จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถยึดครองเมืองโบราณของจักรวรรดิวายุแผ่วได้โดยง่าย
แผนนี้เป็นความคิดร่วมกันระหว่างแม่ทัพของพวกเขาและเหล่าตัวแทนชุดดำของลัทธิอสุรา
พวกเขายึดครองเมืองมาแล้วหลายเมืองด้วยความช่วยเหลือจากตัวแทนของลัทธิอสุรา แผนการแต่ละครั้งสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี พวกเขาจึงไว้วางใจเหล่าคนชุดดำเป็นอย่างยิ่ง แผนการจู่โจมเมืองประจิมเร้นลับเดินหน้าต่อไปได้เมื่อได้รับการสนับสนุนจากตัวแทนชุดดำเหล่านี้
ขณะนี้สถานะของเหล่าคนชุดดำเทียบเท่าแม่ทัพของพวกเขา นั่นเพราะพวกเขาชนะสงครามใหญ่น้อยได้ด้วยแรงหนุนจากคนเหล่านี้!
ท่ามกลางทะเลทรายสีเหลืองไกลสุดลูกหูลูกตา กองทหารซุ่มโจมตีค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้เมืองประจิมเร้นลับที่เพิ่งจะถูกอสูรเวทบุกมาหมาดๆ
ภายในกองทัพมีร่างสามร่างเดินเวียนเป็นวงกลม สองร่างถือยันต์ที่จุดไฟส่องสว่างห้าแผ่น
ยันต์หนึ่งในห้าดูเหมือนจะเสียหายและส่องสว่างไม่เท่าแผ่นอื่นๆ แต่ภายในวงแหวนปราณก็ยังมีหมอกขาวหมุนวนอยู่ อีกทั้งโครงร่างที่คล้ายใบหน้ากำลังกรีดร้องก็ยังปรากฏให้เห็นด้านใน
“หากยึดครองเมืองประจิมเร้นลับได้ในเวลากลางคืน เราก็จะบรรลุภารกิจที่ท่านมหาพรตมอบหมายให้ จากนั้นเราก็จะสามารถนำแก่นวิญญาณเหล่านี้ไปให้ท่านมหาพรตได้” เสียงแหบพร่าดังขึ้น
เงาอีกสองร่างที่ควบคุมยันต์อยู่โค้งศีรษะอย่างนบนอบไปทางเสียงดังกล่าว
“ด้วยความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส… พวกเราต้องยึดเมืองประจิมเร้นลับได้แน่”
“ต่อให้ศัตรูของเราได้รับความช่วยเหลือจากยอดฝีมือของสำนักความลับแห่งสวรรค์ พวกเราก็ไม่กลัว หากมีผู้อาวุโสคอยชี้แนะ เจ้าพวกโง่จากสำนักความลับแห่งสวรรค์ย่อมต้องตายตกไปตามกันแน่นอน”
น้ำเสียงของพวกเขาทั้งนบนอบและเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ เสียงหัวเราะที่ตามมานั้นดังก้องจนได้ยินไปไกล
…
“เริ่มได้กลิ่นหอมแล้ว!”
“ช่างเป็นกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก… แต่กลับไม่หอมแรงเท่าที่คิดแฮะ”
“เจ้าโง่เอ๊ย เขาเพิ่งจะเริ่มทำ! เนื้ออสูรเวทยังไม่สุกด้วยซ้ำ กลิ่นจะหอมแรงไปได้อย่างไรกันเล่า!” บรรดาทหารต่างถกเถียงกันไปมา พวกเขาตื่นเต้นกับอาหารที่กำลังถูกปรุงอยู่ในกระทะทั้งเก้าไม่น้อย
หนี่หยันเลียริมฝีปาก ดวงตาตั้งมั่นและจริงจังขึ้นมาทันที
ถึงแม้หญิงสาวจะไม่รู้แม้แต่น้อยว่าปู้ฟางกำลังทำอาหารชนิดใด แต่นางก็แน่ใจว่าขั้นตอนต่อไปจะเป็นการทดสอบทักษะของปู้ฟางอย่างแท้จริง พลังปราณเที่ยงแท้ไหลบ่าออกมาจากกระทะซึ่งเต็มไปด้วยเนื้อของอสูรเวทระดับเจ็ดหลากหลายชนิด พวกมันแต่ละตัวนับว่าเป็นผู้นำในเผ่าพันธุ์ของตนเอง ทั้งยิ่งใหญ่และทรงพลัง การนำพลังปราณของพวกมันมาผสมกันอาจก่อให้เกิดการระเบิดได้
การระเบิดที่เกิดจากการผสมวัตถุดิบระดับเจ็ดหลายชนิด… ความเสียหายคงเกินกว่าจะจินตนาการได้ ค่ายทั้งค่ายอาจถูกทำลายย่อยยับได้ง่ายๆ
ถังอิ่นเองก็ค่อนข้างกังวลไม่น้อย
อีกด้านหนึ่งก่งเซวียนนั้นหรี่ตาลงอย่างเดียดฉันท์ เจ้าหมอนั่นก็เป็นแค่พ่อครัวเท่านั้น พวกเจ้าจะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา
จู่ๆ ปู้ฟางก็ผุดลุกขึ้นตรงหน้ากระทะยักษ์ใบหนึ่ง สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่กระทะ
ฟู่!
ไอน้ำหนาแน่นที่ผสานรวมพลังปราณเข้มข้นแผ่ออกมาจากกระทะ พลางห้อมล้อมรูปสลักสิงโตเพลิงที่อยู่ตรงกลางเอาไว้ ทำให้มันดูสมจริงยิ่งขึ้นไปอีก
ปู้ฟางสัมผัสได้ถึงเสียงคำรามทรงพลังของสิงโตเพลิงได้รางๆ
น้ำแกงในกระทะเดือดพล่านแต่ไม่ใช่เพราะความร้อน หากแต่เป็นพลังปราณในวัตถุดิบที่กำลังหมุนวนไปมาอยู่ภายในกระทะ
ปู้ฟางขมวดคิ้ว นี่คือขั้นตอนที่ยากที่สุด หากชายหนุ่มจัดการกับมันไม่ดีพอ อาจเกิดระเบิดขึ้นได้
ชายหนุ่มวางเท้าลงข้างกระทะแล้วยกเข่าขึ้นเล็กน้อย พลังปราณเที่ยงแท้ในกายของเขาเริ่มหมุนวนก่อนจะไหลผ่านขาเข้าไปในกระทะ
พลังปราณเที่ยงแท้ของชายหนุ่มทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวปรับพลังปราณ ทันทีที่มันไหลเข้าไปในกระทะ พลังปราณในกระทะที่พลุ่งพล่านอยู่เมื่อครู่ก็สงบลง น้ำแกงที่เดือดพล่านนิ่งเรียบไปเช่นกัน
ปู้ฟางตั้งสมาธิอยู่กับการปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้เพื่อเข้าไปควบคุมการไหลเวียนของพลังปราณในกระทะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD