ณ หนองน้ำปราณมายา
การต่อสู้แสนดุเดือดกำลังดำเนินไปในหนองน้ำที่เต็มไปด้วยโคลน อสูรเวทระดับเจ็ดสองตัวเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ผลกระทบจากแรงปะทะอันดุเดือดเข้ากดทับทั้งหนองน้ำ น้ำสาดกระจาย โคลนตมกระเด็นว่อนไปทั่วทุกแห่งหน
อสูรเวทระดับเจ็ดทั้งสองตัวกำลังต่อสู้แย่งชิงอาณาเขตกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำในหนองน้ำปราณมายา ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในหนองน้ำมากขึ้นเท่าไหร่ อสูรเวทที่พบเจอก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ไม่ต่างอะไรจากในดินแดนป่ารกชัฏ
ในดินแดนนี้ อสูรเวทระดับเจ็ดสองตัวไม่ถือว่าแข็งแกร่งแม้แต่น้อย ในสถานที่แห่งนี้ยังมีอสูรเวทอีกมากมายที่ทรงพลังกว่าพวกมันทั้งสอง
ทันใดนั้นอากาศในบริเวณหนองน้ำก็ถูกบีบอัดรุนแรงจนเกิดเป็นระเบิดเสียงที่ดังกึกก้องกัมปนาท ราวกับว่ามีระเบิดลูกใหญ่ตกลงไปในหนองน้ำ แรงระเบิดทำให้ขี้โคลนสาดกระจายไปทั่ว
ร่างของอสูรเวทระดับเจ็ดทั้งสองแข็งทื่อ พวกมันหยุดต่อสู้กันชั่วขณะ จากนั้นก็หันไปมองร่างที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าตน ร่างนั้นเป็นร่างเดียวกับที่ทำให้เกิดระเบิดเสียง
คนผู้นั้นเป็นชายร่างสูงกำยำด้วยมัดกล้ามในชุดเกราะ พลังปราณของเขาเลื้อนวนอยู่รอบกายไม่หยุดหย่อน ดูราวกับเป็นมังกรแหวกว่ายไม่มีผิด
ชายคนดังกล่าวมีใบหน้าคมกริบ เขามองอสูรเวทที่กำลังสู้กันอยู่ด้วยสายตาราบเรียบ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังกดดันน่าหวั่นเกรงออกมา ทำให้อสูรเวททั้งสองตัวถึงกลับขวัญหนีดีฝ่อ พวกมันรีบดำกลับลงไปในหนองน้ำ ไม่กล้าชะโงกหัวขึ้นมาดูอยู่เป็นนาน
ด้วยความที่ทั้งสองตัวเป็นอสูรเวทที่มีพลังปราณ พวกมันจึงสัมผัสได้ว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งและอันตรายเป็นอันมาก
ระเบิดเสียงดังขึ้นอีกครั้งเมื่อชายผู้ทรงพลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนทำให้ห้วงอากาศฉีกขาดออกจากกัน เขามุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ห่างไกล ภายในไม่กี่อึดใจก็เดินทางออกจากบริเวณหนองน้ำไป
…
ณ ดินแดนป่ารกชัฏ
ต้นไม้ตระหง่านที่สูงจนดูราวกำลังแต่งแต้มท้องฟ้าอยู่ถูกผ่าออกเป็นสองซีก
อสูรเวทนกยักษ์ที่มีปีกคมกริบเหมือนกระบี่บินผ่านบริเวณนั้น ปีกของมันทำลายต้นไม้สองข้างทางเสียหายรุนแรง มันดูทรงพลังจนเหมือนไม่มีใครหยุดยั้งได้
ชายหนุ่มไร้ผมหน้าตาดุร้ายนั่งอยู่บนนกที่น่าหวาดหวั่นตัวดังกล่าว ชายผู้นี้มีผิวสีน้ำตาลและร่างกายที่ดูแปลกประหลาดพอตัว ดูราวกับร่างทั้งร่างของเขาจะถูกสร้างขึ้นจากทองแดง ทุกกระเบียดนิ้วเป็นสีน้ำตาลแดงสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายอัดแน่นไปด้วยพละกำลังร้ายกาจน่ากลัว
ชายหนุ่มไร้ผมลุกยืนบนอสูรเวทนก ดวงตาของเขาสว่างวาบด้วยประกายสายฟ้า เขามองไปในระยะไกล ดูเหมือนกำลังมองไปทางสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่นอกดินแดนป่ารกชัฏ
“วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเสียผู้ฝึกตนไปถึงสองคน เซี่ยอวี่เป็นชายที่มีอนาคตไกลยิ่ง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะบรรลุปราณขั้นเซียนเทพในอนาคต แต่กลับต้องมาสิ้นชีวิตลงในนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว ข้าจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับการตายของเขาให้จงได้ ส่วนไอ้พวกชั่วร้ายจากลัทธิอสุรานั้น ข้าจะทำลายมันให้ไม่เหลือซาก หากลัทธิอสุรากลับมามีอำนาจได้ มันต้องก่อความไม่สงบให้พวกเราแน่นอน ดินแดนทางใต้จะไม่หลงเหลือความสงบสุขอีกต่อไป”
ดวงตาของชายไร้ผมเป็นประกายขณะแค่นลมเย็นออกจากจมูก จากนั้นเขาก็กระทืบเท้าลงบนตัวนกที่ส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงออกมา มันสะบัดปีกแล้วเริ่มโผบินไปข้างหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น
สองคู่หูชายหนึ่งนกหนึ่งกลายเป็นลำแสงที่พุ่งตัดอากาศหายไปจากน่านฟ้าของดินแดนป่ารกชัฏ
ณ เทือกเขาอู่เหลียงสูงชันในดินแดนแสนภูผาอันกว้างใหญ่ไพศาล
ผู้ฝึกตนมากมายเริ่มมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิวายุแผ่ว พวกเขาตระหนักแล้วว่าตนเองประเมินความแข็งแกร่งของลัทธิอสุราผิดมหันต์ ผู้ฝึกตนกลุ่มนี้รวบรวมกำลังพลแล้วรีบเดินทางไปสมทบที่นครหลวงทันที
ณ สถานที่ที่อยู่ห่างจากนครหลวงไปหลายร้อยลี้
กองทัพของราชาอวี่ปักหลักอยู่ที่นี่ แต่ยังไม่ได้เข้าโจมตีนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว พวกเขารู้ดีว่าจะบุ่มบ่ามเข้าไปยึดนครหลวงไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงตรึงกำลังอยู่อย่างสงบเพื่อรอวางแผนเผด็จศึก
ด้วยความที่ที่นี่เป็นเมืองหลวง จึงเป็นศูนย์รวมของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร แม้ราชาอวี่จะมีลัทธิอสุราหนุนหลังอยู่ แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องระวังหากคิดบุกนครหลวง
ราชาอวี่ต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด เนื่องจากหากเขาประมาทเลินเล่อและตกเป็นฝ่ายปราชัยในการต่อสู้ครั้งถัดไป คงมีชะตากรรมเดียวเท่านั้นที่รอเขาอยู่ ซึ่งก็คือความตาย
เจ้ามู่เฉิงอยู่ในชุดคลุมยาว กำลังเดินทอดน่องมาหาราชาอวี่พร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า
“ราชาอวี่ ท่านคงจะตื่นเต้นมากที่ได้กลับมานครหลวงของจักรวรรดิ… ในที่สุดอาณาจักรแห่งนี้ก็จะตกเป็นของท่านเสียที…”
“ข้าจะตื่นเต้นได้อย่างไรกัน สงครามนี้มีผู้สิ้นชีวิตมากมายเกินไป คนจำนวนมากต้องมาลาจากโลกไปเพราะการต่อสู้แย่งชิงครั้งนี้” ราชาอวี่สูดหายใจเข้าลึกพลางเอ่ยตอบ
เจ้ามู่เฉิงยิ้มอย่างสงบนิ่งขณะยืนอยู่ข้างชายหนุ่ม เขามองไปยังนครหลวงสูงตระหง่านที่อยู่ไกลออกไป ดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นเรื่อยๆ
“พอเรายึดนครหลวงเสร็จ ข้าก็ไม่มีคำขออื่นแล้ว นอกจากให้ท่านส่งปู้ฟางมาให้ข้า”
“ปู้ฟางรึ ร้านนั้นมีอสูรเวทขั้นเซียนเทพปกป้องอยู่นี่…”
“มันก็แค่อสูรเวทขั้นเซียนเทพเท่านั้น ฝั่งเราเองก็มีขั้นเซียนเทพอยู่เช่นกัน ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องเกรงกลัวอสูรเวทขั้นเซียนเทพแต่อย่างใด สัญชาตญาณของข้าบอกว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางนั้นซ่อนความลับยิ่งใหญ่เอาไว้ และต่อให้ไม่มีอะไรเช่นนั้น ข้าก็ขอเพียงต้นตื่นรู้ทางห้าสายก็พอ” เจ้ามู่เฉิงถูนิ้วไปมา ดวงตาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
ทันใดนั้นเจ้ามู่เฉิงก็เงยหน้าขึ้น
เขาเห็นแสงสีแดงสองเส้นพุ่งตรงเข้ามา แต่กลับมาหยุดอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาพอดิบพอดี
ชายชราที่อยู่ในกองทัพพลันลืมตาขึ้น
ชายชราก้าวเท้าไปข้างหน้า จากนั้นก็ไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าในบัดดล ชายชราคนดังกล่าวกำลังลอยอยู่เบื้องหน้าลำแสงสีแดงทั้งสอง
“องครักษ์โลหิตรึ พวกเจ้าทั้งสองมิได้มีหน้าที่คุ้มกันหอคอยศักดิ์สิทธิ์หรืออย่างไร เหตุใดจึงมาที่นี่ทั้งคู่ หรือว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับหอคอยศักดิ์สิทธิ์”
ชายชรามุ่นคิ้วพลางยิงคำถามใส่ทั้งสองที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นในอากาศ
“คารวะท่านปรมาจารย์อาวุโส”
องครักษ์โลหิตทั้งสองผสานมือคารวะชายชรา พวกเขารีบบอกเหตุผลที่ตนเองต้องมายังที่แห่งนี้ นอกจากนี้ยังถ่ายทอดคำสั่งของมหาพรตต่อด้วย
วงแหวนปราณผสานวิญญาณถูกขโมยไปและมาปรากฏขึ้นที่นครหลวง
ดวงตาของปรมาจารย์อาวุโสหรี่ลง แววเย็นเยียบวาบผ่านดวงตา
“หรือจะถูกสำนักความลับแห่งสวรรค์แย่งชิงไป เป็นไปไม่ได้ ผู้ฝึกตนจากสำนักความลับแห่งสวรรค์ยังไม่มาปรากฏตัวที่นครหลวงเลยด้วยซ้ำไป ไม่ใช่พวกนั้นแน่นอน... หรือจะเป็นผู้ฝึกตนจากดินแดนแสนภูผา”
ปรมาจารย์อาวุโสงุนงงพอสมควร เขาได้ส่งคนออกไปสำรวจบรรดาผู้ฝึกตนที่เข้านครหลวงมาแล้ว หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็ยังคิดไม่ออกเสียทีว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ร้าย ใครหน้าไหนที่มันกล้าขโมยวงแหวนปราณผสานวิญญาณไป
ทันทีที่คนทั้งสามลงถึงพื้น ราชาอวี่และเจ้ามู่เฉิงก็เดินเข้ามาหา ทั้งสองรีบยกมือทำความเคารพผู้ทรงพลังทั้งสาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD