ณ ประตูเมืองของนครหลวงจักรวรรดิวายุแผ่ว
สายฟ้าสายหนึ่งฟาดใส่ท้องนภา ขณะที่กระแสพลังปราณเที่ยงแท้รุนแรงยังคงกระจายออกไปทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่อง สายฟ้านั้นทะลุผ่านหมู่เมฆ ก่อนที่พลังปราณเที่ยงแท้จะพัดใส่จนเมฆสลายหายไป
ร่างสองร่างกำลังเดินอยู่บนอากาศ ภาพของคนทั้งคู่ที่พุ่งเข้าใส่กันพร้อมส่งแรงปะทะปรากฏขึ้นท่ามกลางม่านหมอกรางเลือน
บรรดาฝูงชนด้านล่างเงยหน้าขึ้นมองการต่อสู้บนท้องฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดวิตก นั่นเพราะพวกเขากำลังดูผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพสองคนห้ำหั่นกันอยู่นั่นเอง
“ราชาอวี่… นี่เป็นเวลาเหมาะที่สุดแล้วสำหรับการยึดเมือง”
การต่อสู้เหนือศีรษะยังคงดำเนินต่อไป แต่มันไม่ได้สะกดความสนใจของเจ้ามู่เฉิงเอาไว้แต่อย่างใด เขากลับเคลื่อนตัวเข้าใกล้จีเฉิงอวี่พลางกระซิบใส่หูชายหนุ่ม
ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากสำนักเจดีย์นภากระจ่างมาถึงแล้ว เรื่องนี้ทำให้เจ้ามู่เฉิงรู้สึกกระวนกระวายไม่น้อย พอขั้นเซียนเทพจากสำนักอื่นมาถึง โอกาสที่พวกเขาจะยึดเมืองได้ก็จะลดน้อยถอยลงไป
แม้ฝั่งเขาจะมีขั้นเซียนเทพอยู่ก็จริง แต่ก็แค่คนเดียวเท่านั้น ต่อให้ขั้นเซียนเทพของพวกเขาเรียกร่างจำแลงของตนเองออกมา ก็ยังต่อกรกับขั้นเซียนเทพจำนวนมากจากสำนักอื่นไม่ได้อยู่ดี
เมื่อถึงเวลาที่นครหลวงมีผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพคอยคุ้มครองอยู่มากมาย คงเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับพวกเขาที่จะตีเมืองได้
ความกังวลของเจ้ามู่เฉิงจีเฉิงอวี่ก็คิดอยู่เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้ามู่เฉิงจะเป็นกังวล แต่ตอนนี้จีเฉิงอวี่กลับกำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น… นั่นคือองครักษ์โลหิตทั้งสองที่เพิ่งเข้านครหลวงไปเพื่อต่อกรกับปู้ฟาง
เจ้ามู่เฉิงหวังให้องครักษ์โลหิตจับปู้ฟางได้ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเปิดฉากโจมตีเมือง แต่ปู้ฟางจะพ่ายแพ้ได้ง่ายดายเช่นนั้นเชียวหรือ
ถึงอย่างไรร้านแห่งนั้นก็ยังมีอสูรเวทขั้นเซียนเทพเฝ้าอยู่…
หากองครักษ์โลหิตทั้งสองทำภารกิจพลาดและไปขัดขาอสูรเวทขั้นเซียนเทพเข้า… จนทำให้มันต้องเข้ามายุ่งด้วย เรื่องนี้คงจะเละเทะมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นไร… รอก่อนก็แล้วกัน พอองครักษ์โลหิตจับตัวปู้ฟางได้แล้ว พวกเราจะเข้ายึดเมืองทันที” จีเฉิงอวี่ประกาศอย่างแน่วแน่มั่นคง
เจ้ามู่เฉิงชะงักไปแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
จีเฉิงอวี่อยากจะปลอดภัยไว้ก่อน แต่เจ้ามู่เฉิงกลับคิดว่าชายหนุ่มในตอนนี้มองโลกในแง่ดีเกินไป… ถึงองครักษ์โลหิตสองคนจะมีพลังเทียบเท่าอสูรเวทขั้นเซียนเทพก็ตามที
…
เงาสีเลือดทั้งสองพุ่งผ่านถนนหนทางในนครหลวงด้วยความเร็วที่มากจนน่าเหลือเชื่อ พวกเขาพุ่งตรงไปข้างหน้าเหมือนพายุร้ายและหายลับไปจากสายตาในชั่วลมหายใจ
พอเข้ามาใกล้ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง ทั้งสองก็หยุดนิ่ง หนึ่งในองครักษ์โลหิตจับแผ่นหยกของตนเองที่มีไฟสีแดงส่องประกายเอาไว้แน่น
“นี่แหละร้านในตรอกเล็ก… เป็นจุดที่วงแหวนปราณผสานวิญญาณปรากฏขึ้น” องครักษ์โลหิตตอบด้วยเสียงแหบแห้ง จากนั้นทั้งสองก็หันมามองหน้ากันแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งเข้าตรอกไป
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในตรอก ทั้งสองก็ต้องชะงัก
ด้วยระดับพลังปราณของคนทั้งคู่ที่อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุขั้นเซียนเทพ ทั้งสองจึงจับกระแสพลังกดดันที่แผ่ออกจากร้านได้ทันที
ร้านที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ใหญ่โต หน้าประตูร้านมีสุนัขสีดำตัวใหญ่นอนหลับอยู่ และมีใครบางคนนอนอืดอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลกัน… ไม่ว่าจะดูอย่างไร ร้านนี้ก็ไม่ได้ดูอันตรายแม้แต่น้อย
องครักษ์โลหิตทั้งสองขมวดคิ้ว แววตาดูงุนงงพอตัว แต่ก็ยังก้าวเดินไปที่ร้านต่อ
เจ้าดำที่นอนหลับอยู่หน้าร้านจมูกกระตุก มันลืมตาขึ้นมามององครักษ์โลหิตสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
บ้าอะไรกันนี่ ไอ้สองคนนี้ตัวเหม็นเหมือนขยะเปียกไม่มีผิด
เจ้าดำฟึดฟัด จากนั้นก็เบนหน้าหนีด้วยความรังเกียจแล้วนอนหลับต่อไป
ปู้ฟางที่กำลังนอนอืดอยู่บนเก้าอี้ประหลาดใจเมื่อเห็นองครักษ์โลหิตสองคนกำลังเดินดุ่มๆ ตรงมา พอชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นเขาก็ประสานสายตากับองครักษ์โลหิตทั้งสองพอดิบพอดี ทั้งสองมีสีหน้าดุดันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไอ้หน้าอ่อน… ไปบอกให้เจ้าของร้านออกมาเดี๋ยวนี้!”
องครักษ์โลหิตคนหนึ่งมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง พวกเขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์รีบร้อนจะเผด็จศึก เนื่องจากร้านนี้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงลางไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก ปู้ฟางยกมุมปากขึ้น จากที่นอนอืดสบายใจในตอนแรกก็เปลี่ยนเป็นยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เขามองคนทั้งสองแล้วเอ่ยตอบ “ข้านี่ละเจ้าของร้าน”
“เจ้าน่ะรึ”
องครักษ์โลหิตคนหนึ่งถลึงตาด้วยความไม่พอใจ ก่อนยิ้มปากบูดเบี้ยว เขาก้าวไปข้างหน้าทันที
องครักษ์โลหิตคนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าปู้ฟางภายในก้าวเดียวราวกับว่าพื้นอิฐหดตัวลงอย่างไรอย่างนั้น พลังปราณน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่าง กระจายตัวไปทั่วไม่เว้นแม้แต่ปลายเส้นผมของเขา
ใบหน้าของคนผู้นี้อยู่ห่างจากปู้ฟางเพียงคืบเดียวเท่านั้น
ปู้ฟางมององครักษ์โลหิตตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ แต่ก็ยังไม่วายขมวดคิ้ว…
นั่นเพราะกลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมาจากตัวองครักษ์โลหิตทำให้เขารู้สึกรังเกียจเต็มที
“ไม่ต้องมายืนใกล้ข้ามาก เราไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ” ปู้ฟางโบกมือไล่
“หากเจ้าเป็นเจ้าของร้าน เจ้าก็ต้องมีวงแหวนปราณผสานวิญญาณของลัทธิอสุราอยู่ในครอบครอง ส่งมันมาให้ข้าเสีย… แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” องครักษ์โลหิตออกคำสั่ง
พลังปราณสีแดงเลือดหมุนวนอยู่บนฝ่ามือของเขา
วืด…
พอสิ้นเสียง เขาก็รู้สึกถึงกระแสพลังคุกคามน่ากลัวที่พุ่งเข้าเสียบกลางหน้าอก องครักษ์โลหิตผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ได้เห็นหุ่นเชิดโลหะที่มีดวงตาสีแดงเจิดจ้ากำลังจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว
หา ก้อนเหล็กนี่มันอะไรกัน…
“วงแหวนปราณผสานวิญญาณรึ” ปู้ฟางเลิกคิ้ว จากนั้นก็เอาเท้ายันพื้นเบาๆ เพื่อไถลเก้าอี้ที่นั่งอยู่ให้ออกห่างจากองครักษ์โลหิตผู้นั้น
เขาลุกออกจากเก้าอี้แล้วยกมือขึ้น เรียกวงแหวนปราณที่สร้างมาจากยันต์เก่าแก่คร่ำคร่าห้าแผ่นขึ้นมาในมือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD