สรุปเนื้อหา บทที่ 328 ซอสพริกอเวจีหนึ่งช้อน – ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD โดย Internet
บท บทที่ 328 ซอสพริกอเวจีหนึ่งช้อน ของ ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD ในหมวดนิยายSlice of Life เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ปู้ฟางจับมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเอาไว้มั่นแล้วควงมันในมือ เขาหยิบวัตถุดิบออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบ
เซียวเสี่ยวหลงเริ่มทำอาหารบนเตาของตัวเองอย่างเป็นระบบ เขาฝึกซ้อมมาเป็นเวลานานและมีประสบการณ์พอตัว ทั้งยังรู้สูตรการทำอาหารหลายจานในร้านเป็นอย่างดี ฝีมือการทำอาหารของชายหนุ่มเทียบชั้นได้กับปู้ฟางสมัยที่เพิ่งเริ่มทำอาหารที่ร้านใหม่ๆ เลยทีเดียว
ความเร็วของปู้ฟางไม่ได้ด้อยลงเลยแม้แต่น้อย ทักษะของเขานั้นเรียกได้ว่าเข้าขั้นน่ากลัว ทั้งความสามารถในการใช้มีด การแกะสลัก และความรู้เกี่ยวกับอาหารจานต่างๆ ที่เขาสั่งสมมานั้นอยู่ในระดับก้าวกระโดดจากตอนที่เพิ่งเริ่มเปิดร้านไปไกล เรียกได้ว่าเขากำลังพัฒนาฝีมือไปสู่การเป็นพ่อครัวเทพ ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแห่งจินตนาการอย่างแท้จริง
ชายหนุ่มติดเตาแล้วเริ่มอุ่นกระทะ ไม่นานนักไอหนาและกลิ่นหอมฟุ้งก็ปกคลุมไปทั่วห้องครัว
ปู้ฟางกำลังทำอาหารที่ไป๋จ่านสั่ง เขาเลือกทำเฉพาะอาหารจานที่ทำยากเท่านั้น ส่วนอาหารอย่างข้าวผัดไข่หรือซี่โครงเปรี้ยวหวาน ชายหนุ่มให้เซียวเสี่ยวหลงเป็นคนรับผิดชอบ
เนื่องจากหากทำไปพร้อมๆ กันสองคน จะสามารถนำอาหารออกจากครัวได้เร็วกว่าเขาทำอยู่คนเดียว
ทุกครั้งที่ปู้ฟางทำเสร็จ เขาจะนำอาหารไปวางบนหน้าต่างห้องครัว และโอวหยางเสี่ยวอี้ก็จะยกอาหารจานนั้นไปให้ที่โต๊ะของไป๋จ่าน
กลิ่นหอมฟุ้งก่อตัวเป็นรูปร่างเหมือนจะจับต้องได้ มันหมุนวนอยู่รอบอาหารแต่ละจานก่อนจะสลายหายไป ทำให้ทุกคนต้องน้ำตาคลอเบ้า
เซียวเสี่ยวหลงเองก็นำอาหารจานที่ตนเองทำไปวางไว้บนหน้าต่าง เพื่อให้โอวหยางเสี่ยวอี้นำไปให้ลูกค้าเช่นกัน
ยิ่งทำอาหารออกมาหลายจานมากเท่าไหร่ กลิ่นในร้านก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเท่านั้น จนดูเหมือนว่ากลิ่นเหล่านี้จะระเบิดแล้วแพร่กระจายออกจากร้านไปในรัศมีสิบลี้เลยทีเดียว
ไป๋จ่านมองอาหารแต่ละจานที่ถูกลำเลียงออกมาจากครัวด้วยสีหน้าตกใจ ทั้งหมดมีหน้าตาน่ากินเป็นอันมาก ส่วนกลิ่นก็เรียกได้ว่าหอมเสียยิ่งกว่า แม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัวพร้อมหยิบตะเกียบขึ้นมาถือไว้
ไป๋จ่านคีบเนื้อตุ๋นตำรับจีนควันโขมงขึ้นมา เนื้อนั้นมีสีชมพูมันเงาเจิดจ้าเหมือนจะส่องแสงออกมาได้ ทันทีที่ถูกตะเกียบบีบเบาๆ น้ำมันก็ไหลออกจากเนื้อเล็กน้อย
กลิ่นหอมชวนหลงใหลทำให้ไป๋จ่านรีบยัดเนื้อตุ๋นตำรับจีนเข้าปาก เนื้อไม่ได้มันเลี่ยนเหมือนที่เขาคิดเอาไว้ แต่กลับอ่อนนุ่มละลายทันทีที่สัมผัสลิ้น มันทั้งนุ่มและอ่อนโยนเกินบรรยาย ไป๋จ่านกลืนเนื้อลงไปพร้อมซูดปากอย่างเอร็ดอร่อย
แม้จะกลืนเนื้อลงท้องไปแล้ว แต่รสชาติเข้มข้นของมันยังคงปกคลุมต่อมรับรสของเขาเอาไว้ไม่ยอมจางหาย
ทั้งประสบการณ์ขณะกินและความรู้สึกหลังอาหารลงท้องไปแล้วนั้น เรียกได้ว่าทำให้สบายกายและสวยงามยากจะหาสิ่งใดเปรียบสำหรับเขา
ไป๋จ่านรู้สึกมีความสุขพอตัวจนต้องผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอาหารจานหนึ่งจะอร่อยได้ถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้เขาคิดแค่ว่าอาหารเป็นเพียงสิ่งที่ต้องกินเข้าไปเพื่อให้อิ่มท้องเท่านั้น
พอบรรลุปราณขั้นเซียนเทพ ไป๋จ่านก็ไม่กินอะไรอีกเลย หากเขาอยากให้ท้องไม่ว่าง ก็จะดื่มโอสถทิพย์เข้าไป หลังจากบรรลุไปแล้วหลายปีเขาก็สนใจแต่การฝึกปราณเท่านั้น ทั้งยังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องอาหารอีกด้วย
พอได้กินอาหารแสนอร่อยฝีมือปู้ฟาง ร่างทั้งร่างก็เหมือนได้อิ่มเอมไปกับมันอย่างเต็มที่
จ่านคงที่นั่งอยู่ข้างๆ อดยิ้มเจื่อนๆ ออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นไป๋จ่านยัดอาหารเข้าปากเหมือนวิญญาณมาเกิดใหม่ที่ไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานาน
ท่านหัวหน้าขุนพลขอรับ… ท่านควรต้องรักษาภาพลักษณ์ของสำนักเมฆาขาวของเราสักนิดนะขอรับ
จินคุนลูบเคราของตนเองด้วยความตกใจเมื่อเห็นไป๋จ่านตั้งหน้าตั้งตากินเอาๆ ไอ้อาหารนี่มันอร่อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ แม้กลิ่นของมันจะทำให้ใครก็ตามที่สูดเข้าไปเคลิ้มได้ แต่สำหรับเขาก็ยังรู้สึกว่ากลิ่นนั้นจืดจางไปอยู่ดี
ไม่นานนักอาหารที่ไป๋จ่านสั่งไปทั้งหมดก็มาครบ แม้แต่สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งก็ถูกนำมาวางด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ไป๋จ่านดื่มสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งเข้าไปเต็มอึก ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง ใบหน้าแดงระเรื่อ ทั้งยังส่งเสียงเรอออกมาอย่างสบายอารมณ์
“เยี่ยมเลย… นี่มันสุราชั้นยอด”
ในฐานะหัวหน้าขุนพลแห่งสำนักเมฆาขาว ไป๋จ่านได้กินอาหารอร่อยมามากมาย แต่ก็ยังมองว่าสุราเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่สุด เขาเป็นผู้ฝึกปราณกระบี่ มีเจตจำนงแห่งกระบี่อีกหลายแขนงที่เขาคงไม่มีวันเข้าใจหากไม่ดื่มสุรา
แต่เขาไม่เคยลิ้มรสสุราที่อร่อยยอดเยี่ยมขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ราวกับว่ามีการต่อสู้อย่างดุเดือดของน้ำแข็งและเปลวเพลิงเกิดขึ้นในท้องของเขา ทำให้ไป๋จ่านรู้สึกเหมือนรูขุมขนทั้งหมดในร่างเปิดออกอย่างฉับพลัน
อาหารเลิศรสจากร้านเล็กๆ ของฟางฟางนั้นยอดเยี่ยมเกินบรรยายจริงๆ
อาหารจานสุดท้ายที่ถูกนำออกมาคือกระทะเทพแห่งโชคชะตา
ปู้ฟางเดินถือหม้อเล็กออกมาจากครัวแล้ววางมันลงบนโต๊ะ
หน้าตาของกระทะเทพแห่งโชคชะตาทำให้ทั้งไป๋จ่านและจินคุนตกใจทั้งยังสงสัยใคร่รู้ไปพร้อมๆ กัน
เมื่อพวกเขาเห็นหม้อนั้น ทั้งสองก็รู้แล้วว่าประสบการณ์ที่ตนเองจะได้รับจากอาหารที่เห็นและกินเข้าไปในวันนี้ ต้องยอดเยี่ยมกว่าอาหารทั้งหมดที่พวกเขาเคยกินมาทั้งชีวิตก่อนจะมาที่ร้านเล็กๆ แห่งนี้แน่นอน
เป็นการยากที่จะได้เห็นคนกินอาหารที่ยังคงอยู่ในหม้ออย่างเอร็ดอร่อย
แต่จินคุนก็เห็นไป๋จ่านตักอาหารในหม้อเข้าปากตรงๆ อย่างมีความสุข จนตัวเขาเองเริ่มอยากกินอาหารที่สั่งขึ้นมาบ้างแล้ว
“เมื่อไหร่เจ้าจะเอาอาหารของข้ามาให้บ้าง ข้าเริ่มทนไม่ไหวแล้ว” จินคุนมองปู้ฟางพลางเอ่ยถาม
ปู้ฟางหันไปมองอีกฝ่ายก่อนตอบเสียงเรียบ “หากเจ้าไม่อดทนก็จะไม่ได้กินเต้าหู้ร้อนๆ อร่อยๆ”
พอพูดเสร็จชายหนุ่มก็หันหลังกลับเข้าครัวไป เขาตั้งใจจะทำอาหารรสจัดมากๆ ที่จินคุนสั่ง แต่ควรจะทำอะไรดีถึงจะตอบโจทย์นั้นได้
ปู้ฟางคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจได้
ซ่า!
เขาหยิบเต้าหู้สดชิ้นใหญ่ออกมาแล้วควงมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือ จากนั้นก็ใช้ทักษะการใช้มีดอันยอดเยี่ยมหั่นเต้าหู้ให้เป็นลูกเต๋า
กร้วม! กร้วม!
แต่จินคุนที่เพิ่งเริ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อเสียงกินอาหารอย่างไม่เก็บอาการของไป๋จ่านดังแทรกขึ้นมา ใบหน้าของเขาแข็งทื่อ จากนั้นก็พ่นลมเยาะออกมาพลางหันหน้าไปมองทางอื่น
เมื่อปู้ฟางเปิดฝากระทะออก ไอน้ำหนาก็พุ่งออกมาแล้วกระจายไปในอากาศทันทีราวกับเป็นมังกรสีขาว
เต้าหู้นับไม่ถ้วนเด้งดึ๋งอยู่ในกระทะเหมือนมีชีวิต ผิวของเต้าหู้เป็นสีชมพูอ่อนที่ทำให้ลูกค้าคนใดก็ตามที่ได้เห็นต้องตาลุกวาว กลิ่นเผ็ดที่โชยออกมานั้นพอที่จะทำให้ใครหลายคนน้ำลายไหลได้
“อาหารจานนี้มีชื่อว่าเต้าหู้ผัดพริกสายฟ้า” ปู้ฟางเอ่ยเสียงเรียบ
เมื่อเซียวเสี่ยวหลงได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป ดูเหมือนว่าปู้ฟางจะไม่ได้ทำเต้าหู้ผัดพริกธรรมดาจริงเสียด้วย
“แล้วมันต่างกันอย่างไรเล่า” เซียวเสี่ยวหลงมองเต้าหู้ผัดพริกในจาน จากนั้นรูม่านตาของเขาก็หดแคบทันที เมื่อเห็นว่าบนผิวของเต้าหู้มีสายฟ้าสีแดงแล่นผ่านเป็นพักๆ ระหว่างเต้าหู้แต่ละก้อน
อาหารจานนี้มีสายฟ้าอยู่จริงๆ เสียด้วย!
แล้วจู่ๆ เขาก็เห็นว่าปู้ฟางหยิบโถอะไรบางอย่างมาถือไว้
โถเล็กๆ นั้นเป็นสีแดง ทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด ใครก็ตามที่ได้เห็นคงมิวายตัวสั่น
“เถ้าแก่ปู้ นั่น… นั่นมันอะไรน่ะ”
“เขาไม่ได้ขอเป็นพิเศษหรือว่าอยากกินอาหารรสจัดสุดๆ แล้วเราจะลืมใส่… ซอสพริกนี่ไปได้อย่างไร” ปู้ฟางหมุนโถในมือเล่นพลางยิ้มมุมปาก
ซอส ซอสพริก
เซียวเสี่ยวหลงอึ้งไปทันที
“ซอสนี้มีชื่อว่าซอสพริกอเวจี ความเผ็ดนั้นเรียกได้ว่าเกินจินตนาการมนุษย์… จนถึงตอนนี้ข้าเคยใช้เพียงแค่หยดเดียวเท่านั้น” ปู้ฟางเอ่ย
เขาหยิบช้อนขนาดใหญ่ออกมาพลางตักซอสพริกอเวจีขึ้นมาเต็มช้อน แล้วเทลงบนเต้าหู้ผัดพริก
เนื้อของซอสมีสีแดงสดทั้งยังมีกลิ่นเข้มข้นมาก...
ทันทีที่เทใส่เต้าหู้ ซอสพริกอเวจีก็ซึมเข้าเนื้อเต้าหู้แล้วละลายรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ซอสพริกอเวจี แค่หนึ่งหยดก็เกินพอจะทำให้ปากของใครก็ตามที่กินเข้าไปต้องลุกเป็นไฟ แค่หนึ่งช้อนก็เพียงพอจะทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในขุมนรก ส่วนหนึ่งโถนั้นมากพอจะทำให้… ใครก็ตามที่ได้กินเดินทางกลับทางช้างเผือก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD