ผู้อาวุโสซุนนอนพังพาบอยู่บนพื้น เอามือกุมลำคอของตนเอง เขารู้สึกเหมือนคอของตนกำลังจะพ่นไฟออกมาอย่างไรอย่างนั้น จิตใจเริ่มสับสนงุนงงไปหมด โลกทั้งใบดูเหมือนกำลังค่อยๆ หม่นสีสันลง
ข้าอยู่ที่ไหน ข้ากำลังจะไปไหน ข้ากำลังจะทำอะไร
แล้วเหตุใดปากข้าจึงบวมถึงเพียงนี้
ผู้อาวุโสซุนรู้สึกเหมือนริมฝีปากของเขาบวมจนกลายเป็นไส้กรอกที่ประกบกันอยู่ ไฟที่แผดเผาอยู่ภายในทำให้น้ำตาของเขาไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้าง
รสชาติเผ็ดบ้าบอนี่มันอะไรกัน
ส่วนจินคุนนั้นยังคงร้องไห้ไม่หยุด น้ำตาระเบิดออกจากตาทั้งสองข้างเหมือนจะไม่มีวันหยุดอีกแล้วในชาตินี้ เขาอยากจะอดทนต่อความเจ็บปวดและบังคับน้ำตาให้หยุดไหล แต่ก็ทำอะไรกับมันไม่ได้แม้แต่น้อย
จินคุนเอามือปิดปาก พยายามสูดหายใจเข้าไม่หยุด คิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบกลายเป็นเส้นเดียว และด้วยความที่ศีรษะโล้นเลี่ยนของเขาสะท้อนแสงมันปลาบ ภาพที่เห็นจึงดูน่าขันพิกล
ไป๋จ่านมองภาพตรงหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี ส่วนจ่านคงนั้นทำได้แค่อึ้ง
หลังจากผ่านไปนาน จินคุนก็ผ่อนลมหายใจออกมาพลางเงยหน้าขึ้น จมูกของเขาเป็นสีแดงก่ำ น้ำตายังคงคลอเบ้าเป็นประกายล้อแสงไฟ
“สรุปว่าเผ็ดหรือไม่”
เมื่อปู้ฟางเห็นสีหน้าชวนขบขันของจินคุนก็อดถามออกมาไม่ได้
ทันทีที่ได้ยินคำถามของปู้ฟาง จินคุนก็ตัวแข็งทื่อ เขามองเต้าหู้สีแดงที่มีสายฟ้าไหลเวียนไปมาไม่หยุด จากนั้นร่างก็สั่นไปถึงทรวง
เผ็ดหรือไม่น่ะหรือ
เจ้าอยากให้มันเผ็ดสักเพียงใดกัน หรือว่าจะต้องให้ข้าตายคาร้านถึงจะเรียกว่าเผ็ดพอ
จินคุนก่นด่าปู้ฟางอยู่ในใจ จากนั้นก็มองชายหนุ่มด้วยสายตาหวาดผวา
“ลุกขึ้น… กลับกัน”
จินคุนพูดกับผู้อาวุโสซุนที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น
ผู้อาวุโสซุนหยีตา เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ปากของเขาบวมเป่งไปหมด ทำให้ดูเหมือนมีไส้กรอกสองชิ้นพาดอยู่บนหน้า ดวงตาว่างเปล่าไร้แวว ผู้อาวุโสซุนดูเหมือนสติหลุดไปโลกหน้าเรียบร้อยแล้ว
จินคุนมองอีกฝ่ายแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
ปู้ฟางมองผู้อาวุโสซุนแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
“หากเจ้าอยากกินทำไมไม่บอกข้าก่อนเอาเข้าปาก” ปู้ฟางมองอีกฝ่ายพลางส่ายหน้าใส่
ซอสพริกอเวจีหนึ่งช้อนที่เขาใส่ลงไปนั้นเป็นปริมาณสำหรับผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพ แล้วขั้นเทพแห่งสงครามอย่างผู้อาวุโสซุนจะอุตริกินเข้าไปทำไม หากเจ้าอยากกิน ก็บอกข้าก่อนสิ…
จินคุนหยิบผลึกออกจากกระเป๋าแล้ววางลงบนโต๊ะ เขาหันมามองปู้ฟางด้วยสายตาหวาดกลัว ดูเหมือนว่านอกจากทุกอย่างในร้านแล้ว ตัวพ่อครัวเองก็น่ากลัวไม่ต่างกัน อาหารจานเดียวทำให้ขั้นเซียนเทพถึงกับบ่อน้ำตาแตก แถมยังเกือบทำให้ขั้นเทพแห่งสงครามได้ไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ด้วย
เจ้าจะทำให้มันเผ็ดขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน
ไป๋จ่านเองก็สงสัยไม่น้อยว่ารสชาติของเต้าหู้ผัดพริกสายฟ้าจะเป็นอย่างไร แต่หลังจากนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับจินคุนแล้ว เขาก็สะกดความอยากรู้อยากเห็นของตนเองเอาไว้ได้ในที่สุด เพราะไม่อยากมีสภาพเดียวกับจินคุน
ไป๋จ่านกลับมาใส่ใจอาหารตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อได้กลิ่นหอมหวนจากอาหาร เขาก็รู้ทันทีว่ารสชาติต้องอร่อยสุดยอดแน่นอน เขาเลิกสนใจเต้าหู้ผัดพริก แล้วเริ่มกินอาหารที่เหลืออยู่ของตนอย่างมีความสุข
จินคุนออกจากร้านไปด้วยหัวใจหวาดผวา เขารีบเดินจากไปพร้อมแบกร่างที่แทบจะไร้ชีวิตของผู้อาวุโสซุนไปด้วย
ปู้ฟางเดินมายืนอยู่ตรงประตูด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง พลางมองจินคุนลากผู้อาวุโสซุนจากไป
ไป๋จ่านใช้เวลาอยู่นานกว่าจะกินอาหารหมด ด้วยความที่เขามีความอยากอาหารขั้นเซียนเทพ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะกินอาหารบนโต๊ะได้หมด
พอกินจนอิ่มหนำสำราญ ไป๋จ่านที่ไม่ได้กินอาหารอร่อยมาเป็นเวลานานก็เอนหลังพิงเก้าอี้ เขาลูบพุงอย่างพึงพอใจพลางหยีตาอย่างมีความสุข ไป๋จ่านนอนอืดยิ้มตาหยีขยับคิ้วหนาไปมาอยู่นาน
“อร่อยมาก! นานแล้วที่ข้าไม่ได้กินอาหารอร่อยถึงเพียงนี้ ข้าชอบมากทีเดียว”
“ท่านหัวหน้าขุนพลขอรับ ข้าเคยบอกแล้วอย่างไรว่าทักษะการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นเรียกได้ว่าไร้ที่ติ ข้าพูดถูกใช่หรือไม่ขอรับ” จ่านคงพูดด้วยรอยยิ้ม
ไป๋จ่านพยักหน้าตอบพลางยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง เขานั่งพักอีกครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองปู้ฟาง
ไป๋จ่านกินอาหารหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลืมสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำแต่อย่างใด อย่างไรเสียเขาก็ต้องทำสิ่งดังกล่าวให้สำเร็จ
“เถ้าแก่ปู้ เด็กหญิงที่ร้านท่านนี้มีพรสวรรค์มากทีเดียว การให้นางมาทำงานเป็นบริกรในร้านเช่นนี้เรียกได้ว่าน่าเสียดายพรสวรรค์ของนางมิใช่น้อย” ไป๋จ่านมองปู้ฟางที่กำลังนอนอืดอยู่บนเก้าอี้ พลางพูดความในใจออกมาด้วยเสียงที่ดังฟังชัด
ปู้ฟางที่กำลังนั่งตากแดดอย่างสบายอารมณ์หันหน้ามองไป๋จ่านด้วยสายตางุนงงทันทีที่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“ว่าอย่างไรนะ”
“ข้าบอกว่าแม่เด็กโอวหยางเสี่ยวอี้นี่ หากให้มาทำงานบริกรในร้านก็เรียกได้ว่าน่าเสียดายพรสวรรค์ของนางมิใช่น้อย ในเมื่อนางมีความสามารถยอดเยี่ยมในฐานะผู้ฝึกตน การหาสำนักให้นางฝึกปราณอย่างเป็นกิจจะลักษณะจะไม่ดีกว่าหรือ ในอนาคตนางอาจกลายมาเป็นขั้นเซียนเทพอีกคนก็เป็นได้ แล้วนางก็จะสามารถดูแลดินแดนทางใต้แห่งนี้ได้” ไป๋จ่านลุกขึ้นยืนพลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
เขาเห็นพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมในตัวโอวหยางเสี่ยวอี้ และอยากรับนางเป็นศิษย์ในความดูแลเพื่ออบรมสั่งสอนเด็กหญิงให้แข็งแกร่ง
แต่โอวหยางเสี่ยวอี้ทำงานเป็นบริกรอยู่ที่ร้านแห่งนี้ หากนี่เป็นร้านอาหารธรรมดา เขาคงชิงตัวนางออกจากร้านไปโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้ว เขาจะมานั่งมีมารยาทถามไถ่ถึงอนาคตของนางไปเพื่ออะไรกัน
ทว่าร้านนี้เป็นร้านแสนลึกลับของปู้ฟาง ร้านที่ทำให้แม้แต่ขั้นเซียนเทพอย่างเขายังต้องหวาดผวา
“เอ่อ… เจ้าอยากรับเสี่ยวอี้เป็นศิษย์หรือ เช่นนั้นก็ลองไปถามนางดูเองสิ”
ปู้ฟางมองไป๋จ่านด้วยความตื่นตกใจ มุมปากกระตุก จากนั้นชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นชี้ไปยังโอวหยางเสี่ยวอี้แล้วเอ่ยตอบไป๋จ่านไป
ทันทีที่ไป๋จ่านได้ยินสิ่งที่ปู้ฟางพูด ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าปู้ฟางจะไม่ยอมปล่อยโอวหยางเสี่ยวอี้ไปจากมือ และต้องพยายามหาทางหยุดเขาแน่นอน
นี่มันสุดยอดไปเลย! ใครจะไปคิดว่าความจริงแล้วเถ้าแก่ปู้จะเป็นคนใจกว้างถึงเพียงนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD