“ท่านจะสั่งกลับบ้านจริงๆ รึ” จีเฉิงเสวี่ยมีสีหน้าประหลาดขณะมองเหลียนฟู่ ดวงตาขององค์ชายสามดูมีความขบขันเจืออยู่เล็กน้อย
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ ฝ่าบาทตรัสว่าอยากเสวยอาหารจากร้านนี้ ข้าจึงต้องรีบมาที่นี่ แม้ตัวข้าเองจะคิดว่าร้านนี้คงไม่มีอะไรอร่อยๆ น่ากินก็ตามที จะยอดเยี่ยมกว่าอาหารจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์หรือครัวหลวงไปได้อย่างไรกัน” เหลี่ยนฟู่พูดอย่างไม่ใส่ใจ พลางจีบมือและจับผมหน้าม้าตนเองเล่น
ตอนนั้นจีเฉิงสเวี่ยกินอาหารที่สั่งมาหมดแล้ว เขาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสงบ แล้วพูดกับหัวหน้าขันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ใช่เลย ท่านหัวหน้าขันที สิ่งที่ท่านพูดไม่ตรงกับความจริงแม้แต่น้อย ความสามารถในการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นยอดเยี่ยมที่สุด อาหารของเขาคุณภาพสมราคาทุกเหรียญทุกผลึก”
เหลียนฟู่สะดุ้งเล็กน้อยพลางคิด “ขนาดองค์ชายสามยังชื่นชมร้านนี้ไม่ขาดปาก ดูเหมือนว่าร้านนี้จะพอมีคุณภาพอยู่บ้างสินะ”
“ข้าก็หวังเช่นนั้นเหมือนกันพะย่ะค่ะ ว่าแต่ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ท่านไปทำภารกิจต่อกรกับสำนักน้อยใหญ่หรอกหรือ องค์ชายจะเสด็จออกจากนครหลวงเมื่อไรหรือพะย่ะค่ะ” เหลียนฟู่ดูเหมือนจะจำอะไรได้จึงถามออกมา
“อีกสองสามวัน” จีเฉิงเสวี่ยดูไม่สนใจคำถามแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะจบบทสนทนา องค์ชายสามจ่ายเงินค่าอาหารแล้วเดินถือขนมปังหอยนางรมออกจากร้านไป
“ท่านขันที จะสั่งอะไรรึ” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามเหลียนฟู่ด้วยน้ำเสียงน่ารัก
เหลียนฟู่เดินไปที่โต๊ะพร้อมสะบัดก้นลงนั่ง เขายกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “ที่นี่… อะไรอร่อยรึ”
“ท่านขันที หันไปมองด้านหลังสิ รายการอาหารเขียนอยู่บนผนัง” โอวหยางเสี่ยวอี้ชี้ไปที่ผนังเบื้องหลังเหลียนฟู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เหลียนฟู่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อหันหลังกลับไป เขาก็เห็นรายการอาหารพร้อมราคาที่แพงจับใจ
“ตายๆๆ! สมแล้วที่เป็นร้านใจไม้ไส้ระกำอันเป็นที่โจษจันในนครหลวง ข้าวผัดไข่ชามละสิบผลึก นี่ง่ายกว่าวิ่งราวอีกนะเนี่ย” เหลียนฟู่เลิกคิ้ว เสียงแหลมสูงดูไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นบนผนัง
ปู้ฟางเดินออกจากครัวมา พร้อมเช็ดหยดน้ำออกจากมือจนสะอาด เขามองไปที่เหลียนฟู่ด้วยสายตาไร้อารมณ์
“ราคาเขียนไว้ชัดเจน ร้านเราปฏิบัติกับลูกค้าอย่างเป็นธรรมเสมอ ลูกค้าตัดสินใจได้เองว่าจะกินหรือไม่กิน ไม่มีใครบังคับ” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ
“ฮึ! เจ้านี่อารมณ์ร้ายเหลือทั้งที่ไม่แข็งแกร่งแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าข้ามีปัญหากับราคารึ ชีวิตนี้ข้าเกิดมาบนกองทองมั่งมีศรีสุข! ข้ารวยจนซื้อร้านเจ้าได้สิบร้านด้วยซ้ำไป!” เหลียนฟู่เย้ย
“ไม่ เจ้าใช้เงินซื้อร้านข้าไม่ได้” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าไม่อยากจะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้านนอกเข้ากรุงเช่นเจ้าหรอกนะ ข้ามีทรัพย์สินมากจนเอาเหรียญทองมากองทับเจ้าตายได้เลย!” เหลียนฟู่จีบมือและจับเล็บตนเองเล่นอย่างวางท่า ขณะมองปู้ฟางด้วยสายตาดูถูก
“เอาเป็นว่าข้าไม่พูดอะไรอีกก็แล้วกัน เอาอาหารมา ข้าอยากลองทุกอย่าง หากอร่อยข้าก็จะซื้อกลับบ้าน”
“ร้านเราไม่ให้ซื้อกลับบ้าน มีแค่อาหารรายการเดียวที่ซื้อกลับได้” ปู้ฟางพูดหน้าเฉย
เหลียนฟู่ชะงักเล็กน้อย เขาจ้องมองปู้ฟางอย่างพิจารณา เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่ม ก็พลันรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น หัวหน้าขันทีโกรธขึ้นมาทันที
“หากลูกค้าบอกให้เจ้าห่อกลับบ้าน ก็ต้องห่อกลับสิ นี่มันบ้าบออะไรกัน” เหลียนฟู่ไขว่ห้าง เขาชี้มือมาที่ปู้ฟางแล้วเอามืออีกข้างท้าวสะเอว พร้อมพูดเสียงเยาะ
“หือ จะก่อความไม่สงบภายในร้านรึ” ปู้ฟางขมวดคิ้วเอ่ย
เหลียนฟู่ตัวแข็งทื่อทันที พลางเหลือบตาไปมองเจ้าดำที่นอนอยู่ตรงปากทางเข้า มันยังแทะซี่โครงเปรี้ยวหวานอยู่ เมื่อนึกถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เจ้าสุนัขสีดำตัวนี้ใช้ลมปากพัดเสื้อผ้าเขาปลิวกระจายไปหมด ร่างก็พาลสั่นเทาขึ้นมา
“ข้าไม่ได้จะมาก่อเรื่องนะ เอาอาหารออกมาให้ข้าลองชิมก่อนเถอะ” เหลียนฟู่ปากกระตุกและยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด
“จะเอาอะไรเล่า”
“ข้าก็บอกไปแล้วมิใช่รึ เอามาทุกอย่าง” เหลียนฟู่ตอบอย่างหมดความอดทน
ปู้ฟางจ้องหน้าขันทีเหลียนอย่างไร้ความรู้สึกแล้วเอ่ยถาม “แน่ใจรึ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD